ช้างเอเชีย
- สำหรับความหมายอื่นของคำว่าช้าง ดู ช้าง (แก้ความกำกวม)
ช้างเอเชีย ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: สมัยไพลโอซีน – สมัยโฮโลซีน,[1] 2.5–0Ma | |
---|---|
ช้างอินเดีย (E. m. indicus) ในอุทยานแห่งชาติจิมคอร์เบตต์ในประเทศอินเดีย | |
ช้างบอร์เนียว (E. m. borneensis) เป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดและใกล้สูญพันธุ์ที่สุด | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Proboscidea |
วงศ์: | Elephantidae |
สกุล: | Elephas |
สปีชีส์: | E. maximus |
ชื่อทวินาม | |
Elephas maximus Linnaeus, 1758 | |
ชนิดย่อย | |
| |
ช่วงกระจายพันธุ์ในอดีตของช้างเอเชีย (สีชมพู) และปัจจุบัน (สีแดง) |
ช้างเอเชีย (อังกฤษ: Asian elephant; ชื่อวิทยาศาสตร์: Elephas maximus) จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในวงศ์ Elephantidae มีขนาดเล็กกว่าช้างแอฟริกา รวมทั้งมีใบหูขนาดเล็กกว่า มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 60 ปี ซึ่งถือได้ว่ามีอายุยืนกว่าช้างแอฟริกา [3]
ลักษณะและนิเวศวิทยา
ลำตัวมีสีเทา จมูกยื่นยาวเรียกว่า งวง โดยงวงของช้างเอเชียจะมีเพียงจะงอยเดียว ต่างจากช้างแอฟริกาที่มี 2 จะงอย และมีโพรงสมองบริเวณหน้าผากกว้างกว่าช้างแอฟริกา เนื่องจากมีฮอร์โมนสมองมากกว่า ดังนั้นช้างเอเชียจึงเป็นช้างที่เฉลียวฉลาด สามารถนำมาฝึกหัดใช้งานและเชื่องกว่าช้างแอฟริกามาก[4] ตัวผู้มีงายาวเรียก ช้างพลาย ถ้าไม่มีงาหรืองาสั้นเรียก ช้างสีดอ ในฤดูผสมพันธุ์มีอาการดุร้ายมาก มีระยะเวลาตั้งท้องนานประมาณ 18-22 เดือน ออกลูกครั้งละตัว ตัวเมียเรียก ช้างพัง ส่วนใหญ่ไม่มีงาปรากฏให้เห็น แต่บางตัวมีงาสั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า ขนาย[5] โผล่ออกมา ซึ่งงาของช้าแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. งาปลี มีลำใหญ่วัดรอบประมาณ 15 นิ้ว แต่ยาวไม่มาก
2. งาหวาย หรืองาเครือ ขนาดวัดโดยรอบประมาณ 14 นิ้ว แต่ยาวรี
ช้างเป็นสัตว์กินพืช อยู่รวมกันเป็นโขลง มีช้างพังอายุมากเป็นจ่าโขลง ช้างเอเชียส่วนใหญ่มีขนาดความสูงประมาณ 2-4 เมตร (7-12 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 3,000-5,000 กิโลกรัม (6,500-11,000 ปอนด์) ช้างเมื่อโตเต็มที่จะกินอาหารวันหนึ่งประมาณ 200 กิโลกรัม
ช้างโดยปกติจะอาศัยอยู่ได้ในป่าแทบทุกประเภท เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี แต่โดยมากแล้วมักจะอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้า หรือป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ แต่ในช่วงฤดูแล้งที่มีไฟป่า อาจหนีเข้าไปอยู่ในป่าที่มีความชื้นกว่าได้ เช่น ป่าดิบแล้ง นอกจากกินพืชเป็นอาหารหลักแล้ว ช้างจะยังกินขี้เถ้าหรือดินโป่งเพื่อเสริมแร่ธาตุอาหารด้วย วัน ๆ หนึ่งจะใช้เวลาหากินมากถึง 16-18 ชั่วโมง และใช้เวลานอนหลับพักผ่อนเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น นับว่าน้อยมาก[6]
ชนิดย่อย
ช้างเอเชีย แบ่งออกเป็น 6 ชนิดย่อย อีก 3 ชนิดย่อยได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้ดังนี้[7]
- ช้างศรีลังกา (E. m. maximus) จะมีรูปร่างขนาดใหญ่ ตัวสีดำ ขนาดใบหูใหญ่และมีสีกระจายมากบริเวณใบหู ใบหน้า งวงและลำตัว มักจะเป็นช้างสีดอหรือไม่มีงา เป็นช้างที่มีอยู่ในป่าตามธรรมชาติเฉพาะในเกาะซีลอนหรือเกาะลังกา ซึ่งในปัจจุบันเป็นประเทศศรีลังกาเท่านั้น ช้างเอเชียชนิดย่อยศรีลังกาตัวผู้ หรือช้างพลายส่วนใหญ่จะเป็นช้างสีดอ คือไม่มีงาคงมีแต่ขนายซึ่งเป็นงาขนาดเล็กโตประมาณเท่าข้อมือ (เส้นรอบวงประมาณ 15-20 เซนติเมตร) ช้างศรีลังกาตัวผู้หรือช้างพลายมีงาน้อยมาก ส่วนตัวเมียเหมือนช้างเอเชียชนิดอื่น คือ ไม่มีงา มีแต่ขนายเท่านั้น
- ช้างอินเดีย (E. m. indicus) ขนาดตัวจะเล็กกว่าชนิดแรก สีตามจุดต่าง ๆ จางกว่า เป็นช้างที่มีอยู่ในป่าตามธรรมชาติ บนผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียได้แก่ เนปาล, ภูฐาน, อินเดีย, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มณฑลยูนานในประเทศจีน และมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยนั้นมีช้างเอเชียพันธุ์อินเดียกระจัดกระจายอยู่ในป่าตามธรรมชาติทั่วทุกภาคของประเทศ
- ช้างสุมาตรา (E. m. sumatranus) มีขนาดตัวเล็ก สีผิวจางมากที่สุด พบในมาเลเซีย เกาะสุมาตรา
- ช้างบอร์เนียว (E. m. borneensis) มีขนาดตัวเล็กที่สุด จนถูกเรียกว่าเป็น "ช้างแคระ" พบในตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวใกล้กับรัฐซาบะฮ์และกาลีมันตันของมาเลเซีย ผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมจากไมโทคอนเดรียระบุว่า บรรพบุรุษของช้างบอร์เนียวได้แยกออกจากประชากรแผ่นดินใหญ่เมื่อประมาณ 300,000 ปีก่อน[8]
ช้างเอเชียต่อไปนี้ก่อนหน้าถูกเสนอให้เป็นชนิดย่อยที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ปัจจุบันได้รับการพิจารณาว่าเป็นชนิดย่อย (ชื่อพ้อง) ของช้างอินเดีย (E. m. indicus)[9] ทั้งสามได้รับการเสนอโดยเฏรานิยกรา (Deraniyagala) (1950) นักบรรพชีวินวิทยาและนักสัตววิทยาชาวศรีลังกา[10]
- ช้างซีเรีย (E. m. asurus) มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความสูงจากไหล่ถึง 11 ฟุตซึ่งใหญ่กว่าชนิดแรกพบในพบทางตอนใต้ของตุรกีจนถึงอิหร่านของปัจจุบันนี้แต่ในปัจจุบันช้างเหล่านี้ได้สูญพันธุ์ตั้งแต่ 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช [11][10]
- ช้างจีน (E. m. rubridens) เป็นช้างที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งซึงมีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับพาลีโอโลโซดอนซึ่งช้างดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งช้างจีนมีลักษณะมีลำตัวสีชมพูอ่อนๆเล็กน้อยไปตามตัวพบในทางตะวันออกของจีน แต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่ ศตวรรษที่ 14 แล้ว[10]
- ช้างชวา (E. m. sondaicus) ปรากฏเป็นภาพแกะสลักบนพุทธศาสนาสถานโบโรบูดูร์[10][12] และบันทึกบางฉบับสันนิษฐานว่าช้างอาจนำเข้ามาจากอินเดียในช่วงที่ศาสนาฮินดูรุ่งเรืองในชวา[13]
ความผูกพันกับมนุษย์
ดูบทความหลักที่ ช้างในประเทศไทย
ช้างเอเชีย จัดเป็นสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงไว้ใช้งานประเภทต่าง ๆ มาแต่โบราณ เช่น ใช้เป็นพาหนะ ลากซุง หรือแม้แต่ในการสงคราม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะนับถือช้างเป็นสัตว์ชั้นสูง โดยจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น ธงรูปช้าง, ตำราคชลักษณ์ เป็นต้น
ช้างถูกใช้ในประเพณีต่าง ๆ รวมทั้งเป็นราชพาหนะและสิ่งประดับบารมีของพระมหากษัตริย์ โดยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่มีช้างเผือกไว้ในครอบครอง ถือว่าเป็นกษัตริย์ที่มีบุญบารมี เฉกเช่น สมเด็จพระจักรพรรดิราชในคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท[14]
คำเรียกและความเชื่อในวัฒนธรรมต่าง ๆ
- ช้างเอเชียตัวเมีย ภาษาอังกฤษเรียก cow
- ช้างแม่แปรก ภาษาอังกฤษเรียกว่า matriarch
- ช้างเลี้ยงเท่านั้นที่มีลักษณนามว่า "เชือก" ส่วนช้างป่ามีลักษณนามว่า "ตัว" และช้างที่ขึ้นระวางเข้าใช้งานในราชการมีลักษณนามว่า "ช้าง"
- ลูกช้างดูดนมแม่ด้วยปากโดยตรง ไม่ใช้งวง
- มีความเชื่อว่าช้างเหยียบไข่ไก่ไม่แตกเพราะกลางฝ่าตีนช้างเว้าเข้าไป ไม่เป็นความจริง
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Elephas maximus ที่วิกิสปีชีส์