ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา
ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา อี ซัลดิบาร์ (สเปน: Fulgencio Batista y Zaldívar, 16 มกราคม ค.ศ. 1901 – 6 สิงหาคม ค.ศ. 1973) เป็นประธานาธิบดีคิวบาอิงสหรัฐอเมริกา ผู้เผด็จการและผู้นำทางทหารผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำคิวบาตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ถึง 1944 และตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ถึง 1959 ก่อนถูกโค่นล้มจากผลของการปฏิวัติคิวบา[4]
ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา | |
---|---|
บาติสตาใน ค.ศ. 1938 | |
ประธานาธิบดีคิวบา คนที่ 14 และ 17 | |
ดำรงตำแหน่ง 10 ตุลาคม ค.ศ. 1940 – 10 ตุลาคม ค.ศ. 1944 | |
รองประธานาธิบดี | กุสตาโบ กูเอร์โบ รูบิโอ |
ก่อนหน้า | เฟเดริโก ลาเรโด บรู |
ถัดไป | รามอน เกรา |
ดำรงตำแหน่ง 10 มีนาคม ค.ศ. 1952 – 1 มกราคม ค.ศ. 1959 | |
ก่อนหน้า | การ์โลส ปริโอ โซการ์รัส |
ถัดไป | อันเซลโม อายิเอโกร อี มิลา |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 16 มกราคม ค.ศ. 1901 บาเนส คิวบา |
เสียชีวิต | 6 สิงหาคม ค.ศ. 1973 กัวดัลมินา รัฐสเปน[1] | (72 ปี)
เชื้อชาติ | คิวบา |
พรรคการเมือง | แนวร่วมสังคมนิยมประชาธิปไตย[2](เลือกตั้ง ค.ศ. 1940) พรรคสหกิจ (1948–คริสต์ทศวรรษ 1950)[3] พรรคสหก้าวหน้า (คริสต์ทศวรรษ 1950) |
คู่สมรส | เอลิซา โกดิเนซ โกเมซ เด บาติสตา มาร์ตา เฟร์นันเดซ มิรันดา เด บาติสตา |
อาชีพ | ทหาร, นักการเมือง |
เดิมบาติสตาขึ้นสู่อำนาจหลัง "การลุกฮือของเหล่าจ่าทหาร" ใน ค.ศ. 1933 ซึ่งโค่นล้มการปกครองแบบเอกาธิปไตยของเฮราร์โด มาชาโด จากนั้น บาติสตาแต่งตั้งตนเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยยศพันเอก และควบคุมตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีสมาชิกห้าคนได้อย่างเป็นผล เขารักษาการควบคุมนี้ผ่านประธานาธิบดีหุ่นเรื่อยมากระทั่ง ค.ศ. 1940 เมื่อตัวเขาเองได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคิวบาบนเวทีประชานิยม[2][5] จากนั้น ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งคิวบา ค.ศ. 1940 ซึ่งดูก้าวหน้าในขณะนั้น และดำรงตำแหน่งกระทั่ง ค.ศ. 1944 หลังหมดวาระ เขาได้ไปอาศัยในสหรัฐฮเมริกา โดยกลับมาคิวบาเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1952 เมื่อแน่ใจว่าตนจะแพ้การเลือกตั้ง เขาจึงนำการรัฐประหารก่อนการเลือกตั้ง
หลังครองอำนาจอีกครั้ง ในตอนนี้บาติสตาระงับรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1940 และเพิกถอนเสรีภาพทางการเมืองส่วนใหญ่ รวมทั้งสิทธิในนัดหยุดงานประท้วง เขาเข้าไปคบค้าสมาคมกับเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่งที่สุดผู้เป็นเจ้าของไร่น้ำตาลขนาดใหญ่ที่สุด และเฝ้ามองเศรษฐกิจที่ซบเซาและเห็นช่องว่างระหว่างชาวคิวบารวยกับจนที่ขยายกว้างขึ้น[6] รัฐบาลที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงและกดขี่เพิ่มขึ้นของบาติสตานั้นเริ่มหาแสวงหาประโยชน์จากผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ของคิวบา โดยการเจรจาความสัมพันธ์ผลประโยชน์สูงกับมาเฟียอเมริกา ผู้ควบคุมธุรกิจยาเสพติด การพนันและโสเภณีในกรุงฮาวานา และบรรษัทข้ามชาติอเมริกาขนาดใหญ่ที่ได้ลงทุนด้วยปริมาณเงินมหาศาลในคิวบา[6][7] ในการปราบปรามความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชน ซึ่งแสดงออกผ่านการจลาจลนักศึกษาและการเดินขบวนต่อต้านบาติสตาตามลำดับ บาติสตาจัดการเซ็นเซอร์สื่อ ขณะที่ใช้ประโยชน์จากตำรวจลับต่อต้านคอมมิวนิสต์และอาวุธที่สหรัฐอเมริกาจัดหาให้เพื่อดำเนินความรุนแรง การทรมานและการประหารชีวิตสาธารณะเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นผลให้ชาวคิวบาเสียชีวิตมากถึง 20,000 คน[8][9]
เมื่อกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านด้วยยุทธวิธีเหล่านี้ (ธันวาคม ค.ศ. 1956 – ธันวาคม ค.ศ. 1958) ขบวนการ 26 กรกฎาคมของฟิเดล กัสโตร และส่วนกบฏชาตินิยมอื่นนำการลุกฮือแบบกองโจรทั้งในเมืองและชนบทต่อรัฐบาลบาติสตาเป็นเวลาสองปี ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเขาโดยกบฏภายใต้การบัญชาการของเช เกบารา ณ ยุทธการที่เมืองซานตากลาราในวันขึ้นปีใหม่ของ ค.ศ. 1959 บาติสตาบินหลบหนีออกจากเกาะทันทีพร้อมกับทรัพย์สินส่วนตัวที่เขาสะสมไว้ไปยังสาธารณรัฐโดมินิกัน ที่ซึ่งผู้มีอิทธิพลและอดีตพันธมิตรทางทหาร ราฟาเอล ตรูฮิโย ถือครองอำนาจอยู่ ท้ายที่สุด บาติสตาลี้ภัยทางการเมืองไปยังโปรตุเกส ที่ซึ่งเขาอยู่อาศัยกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1973 ใกล้กับมาร์เบยา รัฐสเปน[10]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- Fulgencio Batista เก็บถาวร 2022-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน from The History of Cuba
- Fulgencio Batista from The Latin American Studies Organization
- What Castro Found by Ana Simo
- January 1, 1959: "Cuban Dictator Batista Falls From Power" by The History Channel
- Fulgencio Batista Zaldívar Collection[ลิงก์เสีย] at the University of Miami Cuban Heritage Collection