หมา
หมา หรือคำสุภาพว่า สุนัข (ชื่อวิทยาศาสตร์: Canis familiaris[4][5] หรือ Canis lupus familiaris[5]) เป็นสัตว์ที่สืบเชื้อสายมาจากหมาป่าที่ปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มักชูหางขึ้นสูง หมาสืบสายพันธุ์จากหมาป่าโบราณที่สูญพันธุ์แล้ว[6][7] และญาติใกล้ชิดกับหมาที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่คือหมาป่าสมัยใหม่[8] หมาเป็นสัตว์สปีชีส์แรกที่ถูกปรับเป็นสัตว์เลี้ยง[9][8]ให้กับคนเก็บของป่าล่าสัตว์เมื่อมากกว่า 15,000 ปีก่อน[7] ซึ่งอยู่ก่อนหน้าการพัฒนาด้านเกษตรกรรม[1]
หมาบ้าน ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: อย่างน้อย 14,200 ปีก่อน - ปัจจุบัน[1] | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
สัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอตา |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
ชั้น: | สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม |
อันดับ: | อันดับสัตว์กินเนื้อ |
วงศ์: | Canidae |
สกุล: | Canis Linnaeus, 1758[2] |
สปีชีส์: | Canis familiaris |
ชื่อทวินาม | |
Canis familiaris Linnaeus, 1758[2] | |
ชื่อพ้อง[3] | |
รายการ
|
เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นเวลายาวนาน ทำให้หมากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของคนจำนวนมาก[10] และสามารถเจริญเติบโตด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งซึ่งสำหรับวงศ์สุนัขอื่น ๆ ถือว่าไม่เพียงพอ[11] หลายสหัสวรรษถัดมา หมาเริ่มปรับพฤติกรรมให้เข้ากับพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะ และพันธะระหว่างมนุษย์-วงศ์สุนัขยังคงเป็นหัวข้องานวิจัย[12]
หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย[13] พันธุ์หมามีรูปร่าง ขนาด และสีต่างกัน โดยมีบทบาทต่อมนุษย์หลายแบบ เช่น ล่าสัตว์, ไล่ต้อน, ลากสิ่งของ, ป้องกันสถานที่, ช่วยเหลือตำรวจและทหาร, เพื่อนมิตร, รักษา และช่วยเหลือคนพิการ อิทธิพลต่อสังคมมนุษย์เหล่านี้ทำให้มันได้รับฉายา "เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์"
บรรพบุรุษและที่มาของความเชื่อง
วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของหมาชี้ให้เห็นว่าหมาเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน หมาสืบทอดจากหมาป่าและหมาธรรมดาสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหมานั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้หมาเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของหมาในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ หมาทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ หมาที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆ โอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน (Introgression)
ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลหมา กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของหมาตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่หมาในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพหมาที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าหมามีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์
การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของหมาได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรหมาทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของหมาป่า
สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำหมาจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในหมาจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่นเหมือน อวัยวะเพศชาย
ชีววิทยา
กายวิภาคศาสตร์
หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีเพื่อให้มีพฤติกรรมหลากหลาย การรับรู้ความรู้สึก และลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน[13] หมาสายพันธุ์ต่าง ๆ ในสมัยใหม่มีขนาด รูปร่าง และพฤติกรรมหลากหลายกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น[13] หมาเป็นทั้งนักล่าและสัตว์กินซาก และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กระดูกข้อเท้าเชื่อมกัน และระบบหมุนเวียนเลือดที่ช่วยในการวิ่งและความอดทน และมีฟันที่ใช้จับและฉีกให้ขาด เช่นเดียวกับสัตว์นักล่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น
ขนาดและส่วนสูง
หมามีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน หมาตัวเล็กที่สุดที่รู้จักกันคือหมาพันธุ์ยอร์กเชอร์เทร์เรียร์ เมื่อยืนอยู่จะสูง 6.3 เซนติเมตร ยาว 9.5 เซนติเมตร ตลอดทั้งหัวและลำตัว และหนัก 113 กรัม หมาตัวใหญ่ที่สุดที่รู้จักคือหมาพันธุ์อิงลิชมาสติฟ หนัก 177.6 กิโลกรัม และความยาวจากจมูกถึงหาง 250 เซนติเมตร[14] หมาที่สูงที่สุดคือหมาพันธุ์เกรตเดน เมื่อยืนอยู่สูง 195.7 เซนติเมตร[15]
ประสาทสัมผัส
ประสาทสัมผัสของหมา ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรู้รสชาติ การสัมผัสและการตอบสนองไวต่อสนามแม่เหล็กของโลก
หาง
หมามีหางหลายรูปร่าง ได้แก่ ตรง ตรงตั้งขึ้น โค้งคล้ายเคียว ม้วนเป็นวง หรือหมุนเป็นเกลียว หน้าที่หลักของหางหมาคือสื่อสารอารมณ์ของมัน เป็นสิ่งสำคัญกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในหมานักล่าบางตัวถูกกุดหางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ[16] หมาบางสายพันธุ์ เช่น Braque du Bourbonnais ลูกหมาอาจเกิดมามีหางสั้นหรือไม่มีหางเลยก็ได้[17]
สุขภาพ
พืชที่ปลูกตามบ้านเรือนหลายชนิดเป็นพิษกับร่างกายของหมา เช่น ต้นคริสต์มาส เบโกเนีย และว่านหางจระเข้[18]
หมาบางสายพันธุ์มีแนวโน้มเจ็บป่วยเป็นโรคบางโรค เช่น ศอกและสะโพกเจริญผิดปกติ ตาบอด หูหนวก หลอดเลือดแดงตีบ ปากแหว่งเพดานโหว่ และกระดูกสะบ้าเคลื่อน
สติปัญญาและพฤติกรรม
หมาแต่ละตัวและแต่ละสายพันธุ์ มีสัญชาตญาณของตนเอง นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากหมาป่ามาเป็นหมาเลี้ยง ได้มีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์หมาสืบทอดกันมามากกว่า 4,000 ชั่วอายุ ทำให้ลักษณะร่างกายของหมาหลายสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของพวกมันอย่างมาก แต่หมาแต่ละสายพันธุ์ยังคงรักษาลักษณะพฤติกรรมของหมาป่าที่มันเคยเป็นไว้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งหมาป่าและหมาเลี้ยงมีวิธีสื่อสารโดยการเห่า การใช้ภาษากาย และสัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม ทั้งนี้หมามีพฤติกรรมให้การสร้างอาณาเขตของมัน เช่น การฉี่รดตามที่ต่าง ๆ เพื่อบอกว่าตรงนี้เป็นเจ้าของ และการเดินเป็นวงกลมก่อนนอนเพื่อกระจายกลิ่นตัวไปรอบ ๆ และกำหนดอาณาเขตไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้ามารบกวน
บทบาทกับมนุษย์
อาหาร
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Coppinger, Raymond; Schneider, Richard (1995). "Evolution of working dogs". ใน Serpell, James (บ.ก.). The domestic dog: its evolution, behaviour, and interactions with people. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-42537-7.
- HarperCollins (2021). "Collins Dictionary". HarperCollins Publishers L.L.C.
- Cunliffe, Juliette (2004). The encyclopedia of dog breeds. Bath: Paragon Books. ISBN 978-0-7525-8018-0.
- Fogle, Bruce (2009). The encyclopedia of the dog. New York: DK Publishing. ISBN 978-0-7566-6004-8.
- Jones, Arthur F.; Hamilton, Ferelith (1971). The world encyclopedia of dogs. New York: Galahad Books. ISBN 978-0-88365-302-9.
- Miklósi, Adám (2007). Dog Behaviour, Evolution, and Cognition. Oxford University Press. doi:10.1093/acprof:oso/9780199295852.001.0001. ISBN 978-0-19-929585-2.
- Wang, Xiaoming; Tedford, Richard H. (2008). Dogs: Their Fossil Relatives and Evolutionary History. Columbia University Press, New York. pp. 1–232. ISBN 978-0-231-13529-0. OCLC 502410693.
- Smith, Bradley, บ.ก. (2015). The Dingo Debate: Origins, Behaviour and Conservation. CSIRO Publishing, Melbourne, Australia. ISBN 978-1-4863-0030-3.
- Boitani, Luigi; Mech, L. David (2003). Wolves: Behavior, Ecology, and Conservation. Chicago: University of Chicago Press. p. 482. ISBN 978-0-226-51696-7. OCLC 904338888.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Biodiversity Heritage Library bibliography for Canis lupus familiaris
- Fédération Cynologique Internationale (FCI) – World Canine Organisation
- Dogs in the Ancient World, an article on the history of dogs
- View the dog genome เก็บถาวร 13 ธันวาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน on Ensembl