กุลา

กุลา, กุหล่า หรือ คุลา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทและปะโอ (หรือ กะเหรี่ยงดำ) ที่อพยพจากรัฐฉาน รัฐมอญ ประเทศพม่า หรือมณฑลยูนนาน ประเทศจีน อพยพเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทยในช่วงสามทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 และบางส่วนตั้งถิ่นอยู่ในจังหวัดไพลิน ทางตะวันตกของประเทศกัมพูชา ในฐานะกองคาราวานพ่อค้าเร่ นายฮ้อย หรือนักค้าอัญมณี ทำการค้าขายกับหัวเมืองสำคัญต่าง ๆ

กุลา
ระบำนกยูง ซึ่งชาวกัมพูชารับอิทธิพลจากฟ้อนกิงกะหร่าของชาวกุลาในจังหวัดไพลิน
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศไทย · ประเทศลาว · ประเทศกัมพูชา
ภาษา
ไทยถิ่นอีสาน · เขมร
อดีต: ไทใหญ่ · ปะโอ
ศาสนา
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง
ไทใหญ่ · ปะโอ · พม่า · มอญ · จิ่งพัว

แต่เดิมชาวกุลามีรูปพรรณเช่นเดียวกับชาวพม่า มีศิลปกรรมในการสร้างศาสนสถาน พระพุทธรูป และการใช้อักษรอย่างเดียวกับพม่า[1] แต่ในปัจจุบันชาวกุลาเริ่มกลืนไปกับวัฒนธรรมพื้นเมืองที่ตนอาศัยอยู่ เช่น ชาวกุลาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่หันไปรับวัฒนธรรมลาวอีสานแทน[2]

ศัพทมูลวิทยา

ในพจนานุกรมไทยระบุว่า กุลา มีความหมายว่า "ชนชาติต้องสู้และไทใหญ่, กุลา หรือ คุลา ก็ว่า" และปรากฏคำว่า คุลา เป็นชื่อการละเล่นคือ คุลาตีไม้ และกลอนกลบทชื่อว่า คุลาซ่อนลูก ซึ่งเป็นคำเรียกที่มีมาช้านานแล้ว[1] ทั้งนี้ กุลา จากคำพม่าว่า กุลา (พม่า: ကုလား) เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอินเดียในเชิงเหยียดหยัน[2] ในอดีตใช้เรียกทั้งชาวอินเดียและชาวยุโรป[3] สอดคล้องกับภาษาไทยถิ่นเหนือที่มีคำว่า กุลวา ใช้เรียกชาวอินเดีย และ กุลวาขาว ใช้เรียกชาวฝรั่งตะวันตก[1] ในภาษาไทยถิ่นอีสาน กุลา แปลว่า "กุหล่า ชนจำพวกต้องสู้เรียก กุลา กุลากับม่านก็คือชนชาติพม่า ผู้ชายพม่าชอบสักขาและสักคอ สีที่ใช้สักชอบใช้สีชาด สีชาดอีสานเรียก น้ำหาง ลายที่สักจะมีสีแดง ดังนั้นคนอีสานจึงเรียกพม่าว่ากุลาขาก่าน ม่านคอลายใบหูของผู้ชายพม่าชอบเจาะรูหูสำหรับใส่ต้างหรือกระจอนยอย"[4] ส่วน กุหล่า ในภาษาลาว มีความหมายว่า "กลุ่มชนที่มาจากพม่าตอนเหนือ" และ กุฬา (កុឡា, ออกเสียง โกะลา) ในภาษาเขมร มีความหมายว่า "ชาวพม่า" หรือ "ชนชาติหนึ่งที่อยู่ในพม่า"[1][2]

ขณะที่ชื่อ ตองสู, ต่องสู่ และ ต้องสู้ เป็นคำที่ใช้เรียกชาวกุลาได้เช่นกัน มาจากคำว่า ตองสู (တောင်သူ) เป็นชื่อเรียกชาวปะโอ หรือกะเหรี่ยงดำ ซึ่งเป็นชนชาติที่ขยันและซื่อสัตย์ ชาวไทใหญ่มักเลือกชนเผ่านี้มาร่วมเดินทางจากพม่าเพื่อค้าขายทางไกลด้วยเสมอ[5] ทั้งนี้ชาวกุลาบางส่วนปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้สืบเชื้อสายจากชาวปะโอหรือกะเหรี่ยงดำ หากแต่ยอมรับว่าบรรพบุรุษของตนใช้นามสกุลต่องสู่[6]

ประวัติ

จากงานวิจัยของสุธิดา ตันเลิศ และพัชรี ธานี (2559) พบว่าปูมหลังของชาวกุลา แบ่งได้สี่กลุ่ม คือ กลุ่มแรกมาจากปริมณฑลรอบเมืองตองยีในรัฐฉาน กลุ่มที่สองมาจากทางใต้ของเมืองมะละแหม่ง (เอกสารเก่าเรียก มรแม) และเมาะตะมะในรัฐมอญ กลุ่มที่สามมาจากเมืองก่อกะเระ (เอกสารเก่าเรียก ขุกคิก) ในรัฐกะเหรี่ยง และกลุ่มที่สี่มาจากบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย[7] ดังจะพบว่า ชาวกุลาจำนวนไม่น้อยเรียกแทนตัวเองว่า ต้องสู้ (คือปะโอ)[8][9] แต่บางกลุ่มเรียกตนเองว่า ไต (คือไทใหญ่)[10] จากการสืบเสาะข้อมูลลูกหลานชาวกุลาในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่าบางส่วนมีเครือญาติที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และมีลูกหาบที่ติดตามมากับชาวกุลาเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่และลำปาง[11] พบหลักฐานการเดินทางของพ่อค้าเร่ชาวกุลาเก่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2381 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เข้าไปค้าขายทางเมืองเชียงใหม่ ตาก สวรรคโลก และกำแพงเพชร[12] และมีหลักฐานการเข้าไปค้าขายของชาวกุลาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ดังปรากฏเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างชาวกุลากับเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และบานปลายไปถึงการห้ามขายโคกระบือแก่คนต่างด้าว ทำให้ชาวกุลาประสบปัญหาทางธุรกิจมาก[12]

หลังสนธิสัญญาเบาว์ริงมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2399 ชาวกุลาซึ่งเป็นคนในบังคับของสหราชอาณาจักรจะได้รับการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้านการค้าจากรัฐบาลสยาม ทำให้ชาวกุลาเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว พวกเขาดำเนินกิจกรรมการค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่น ตาก เชียงใหม่ แพร่ ลำพูน ลำปาง น่าน นครสวรรค์ สวรรคโลก ลพบุรี หล่มสัก และนครราชสีมา โดยต้องการสินค้าสำคัญ เช่น ช้าง งาช้าง เขาสัตว์ ไม้ซุง ไหม และโคกระบือไปขายที่เมืองพม่า โดยชาวกุลาจะเดินทางเป็นหมู่คณะ มีการพกปืนและดาบเป็นอาวุธประจำกาย[13] ชาวกุลามักนำสินค้ามาขายแก่เศรษฐีและคนจีนในท้องถิ่นต้องการ เช่น ฝิ่น ฆ้อง ผ้า ไหมดิบ ดาบ มีด เครื่องเงิน สีย้อมผ้า ด้วยการแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราหรือแลกกับสิ่งของมีค่ามีราคา เช่น เขาสัตว์ สัตว์พาหนะ และสินค้าพื้นเมืองเป็นอาทิ[14] โดยมีเส้นทางเกวียนห้าเส้นทางที่ชาวกุลาสามารถเข้าไปค้าขายยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใน คือ เส้นทางดงพญาไฟออกไปปากเพรียว สระบุรี เส้นทางดงพญากลางไปบ้านสนามช้าง ลพบุรี เส้นทางช่องตะโกออกไปทางกบินทร์บุรี เส้นทางมะละแหม่งออกไปทางตาก และเส้นทางเขมรผ่านช่องจอม สุรินทร์ ออกไปทางเมืองศรีโสภณ[15] นอกจากนี้ยังมีชาวกุลาตั้งถิ่นฐานและค้าเพชรพลอยจำนวนมาก จากรายงานของกงสุลอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2432 พบว่า มีชาวกุลาในจังหวัดตราด 3,000 คน และจังหวัดพระตะบอง 2,000 คน ครั้น พ.ศ. 2439 พบว่ามีชาวพม่าและกุลาอาศัยอยู่ในจังหวัดไพลินมากถึง 1,500 คน[16] หลังจากนั้นก็โยกย้ายเข้าสู่จังหวัดจันทบุรีหลัง พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา[10]

ในเวลาต่อมาชาวหรือกุลาหรือตองสู้จำนวนไม่น้อยเป็นเขยสู่หรือเขยลาวเพราะสมรสกับหญิงลาวในท้องถิ่น[17][18] พบการตั้งถิ่นฐานแพร่หลายทั่วไป โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี และภาคตะวันออก ได้แก่ อำเภอเขาสมิง และอำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด[9] ส่วนในประเทศกัมพูชาพบในจังหวัดไพลิน พระตะบอง และสตึงเตรง ซึ่งวัฒนธรรมของพวกเขาในกัมพูชาใกล้สูญหายหลังผ่านยุคเขมรแดงเป็นต้นมา[19] พวกเขากลายเป็นเป้าสังหารไม่ต่างจากชาวญวนหรือจาม ทำให้ชาวกุลาบางส่วนอพยพออกจากพื้นที่ไปยังพนมเปญหรือสหรัฐ[20] รวมทั้งการสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวเขมรและไทย[21]

ภาษา

ชาวกุลาบางกลุ่มใช้ภาษากะเหรี่ยงผสมพม่าในการสื่อสาร[9] และใช้อักษรอย่างพม่าในการเขียน[1] แต่ใช้กันจำกัดจำเพาะในกลุ่มชาวกุลารุ่นแรกด้วยกันเท่านั้น ไม่นิยมถ่ายทอดวัฒนธรรมทางภาษาแก่ลูกหลาน ด้วยเหตุนี้ลูกหลานชาวกุลาจึงไม่สามารถใช้ภาษากุลาได้อีก และรับอิทธิพลวัฒนธรรมลาวอีสานแทนที่[2][22] ส่วนชาวกุลาในจังหวัดจันทบุรีในประเทศไทย จังหวัดไพลิน และจังหวัดสตึงเตรงในประเทศกัมพูชา จะใช้ภาษาไทใหญ่เป็นหลัก มีบ้างที่ใช้ภาษาลูกผสมระหว่างไทใหญ่กับไทยถิ่นเหนือ แต่ปัจจุบันภาษากุลาในกัมพูชาได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยสูงมาก และชาวกุลามักใช้ภาษาลาวในการดำเนินธุรกิจ

วัฒนธรรม

นักแสดงและนักดนตรีชาวเขมร สวมเครื่องแต่งกายอย่างชาวกุลา

ชาวกุลาในจังหวัดอุบลราชธานีมีอาหารที่นิยมบริโภคในครัวเรือน เช่น จอผักกาด น้ำพริกอ่อง ถั่วเน่า แกงฮังเล เจียวใบมะขามอ่อนใส่กระเทียมหรือหอมเจียวโรยเกลือ นิยมดื่มชาทุกวันช่วงพลบค่ำ มีการรับประทานข้าวเหนียวและปลาร้าเป็นครั้งคราว และมีอาหารประยุกต์กับวัฒนธรรมพื้นเมือง คือ ต้มปลาใส่น้ำปลาร้าและใบมะขามอ่อน ชาวกุลาไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่อย่างวัวและควาย รวมทั้งไม่บริโภคสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น เขียด กบ งู กิ้งก่า และปลาไหล[22] ส่วนชาวกุลาในประเทศกัมพูชามีอาหารขึ้นชื่อคือ หมี่กุลา (មីកុឡា) นอกนั้นเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากชาติอื่น เช่น ต้มยำของไทย

ส่วนการแต่งกายของชาวกุลาในจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนใหญ่ยังอนุรักษ์การแต่งกายอย่างเดิมไว้ คือ การสวมเสื้อทรงจีนแบบมีกระดุม นุ่งกางเกงขาก๊วย มวยผมยาว ครั้นจะออกนอกเคหสถานก็จะใช้ผ้าโพกศีรษะ[22] นอกจากนี้ยังมีขนบธรรมเนียมบางประการที่ได้รับอิทธิพลจากไทใหญ่ เช่น การบวชลูกแก้ว การรำมองเซิง และการออกพรรษาแบบกุลา กระทำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2405 และยกเลิกไปใน พ.ศ. 2470[23] ทั้งนี้การรำมองเซิงจะมีการแต่งกายแบบชาวปะโอ และมีท่วงท่าการรำที่ช้ากว่าคนปะโอเล็กน้อย[24]

ในจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา มีการระบำนกยูงซึ่งได้อิทธิพลจากการฟ้อนกิงกะหร่า โดยจะมีการระบำเพื่อบูชาผียายยาต หรือชื่อภาษากุลาว่าเซน ติน (Sein Tin) ที่บนวัดพนมยาต ตามความเชื่อชาวบ้าน[20]

อ้างอิง

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง