ความแพร่หลายของภาษาสเปน
ภาษาสเปนเป็นภาษาซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเป็นภาษาราชการใน 21 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศจำนวนหนึ่ง และมีผู้พูดราว 329-500 ล้านคน คิดเป็นอันดับ 2 หรือ 3 ของโลก
ทวีปอเมริกา
ประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา
ปัจจุบันมีประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา 13 แห่งที่ระบุให้ภาษาสเปนหรือภาษาคาสตีล (การเรียกชื่อต่างกันในแต่ละประเทศ) เป็นภาษาราชการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ประเทศโบลิเวีย (ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบเมื่อปี ค.ศ. 2007 หมวด 1 บทที่ 1 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง โดยมีสถานะเป็นภาษาราชการร่วมกับ "ภาษาของเชื้อชาติและชนพื้นเมืองต่าง ๆ ในเขตชนบททุกภาษา"[1] เช่น ภาษาไอย์มารา ภาษากาบีเนญา ภาษากายูบาบา ภาษากวารานี ภาษากวาราซูเว ภาษาเกชัว ภาษาอูรู-ชีปายา และภาษาซามูโก), โคลอมเบีย (ร่วมกับภาษาและภาษาถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ของกลุ่มนั้น ๆ),[2] คอสตาริกา,[3] คิวบา,[4] เอกวาดอร์,[5] เอลซัลวาดอร์,[6] กัวเตมาลา,[7] ฮอนดูรัส,[8] นิการากัว (รัฐธรรมนูญของประเทศ หมวด 2 มาตรา 12 ได้ระบุเพิ่มไว้ว่า "ภาษาของชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของนิการากัวจะมีฐานะเป็นภาษาราชการเช่นกันในกรณีต่าง ๆ ตามแต่กฎหมายจะกำหนด"),[9] ปานามา,[10] ปารากวัย (เป็นภาษาราชการร่วมกับภาษากวารานี),[11][12] เปรู (เป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาเกชัว ภาษาไอย์มารา และภาษาของชนพื้นเมืองอื่น ๆ ในพื้นที่ที่ชนกลุ่มนั้นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก)[13] และเวเนซุเอลา (รัฐธรรมนูญของประเทศได้ระบุเพิ่มไว้ว่า "ภาษาพื้นเมืองต่าง ๆ จะมีสถานะทางการสำหรับชนพื้นเมืองเหล่านั้นด้วย และภาษาเหล่านั้นต้องได้รับความเคารพในทั่วทุกพื้นที่ของสาธารณรัฐ ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างมรดกทางวัฒนธรรมของชาติและของมนุษยชาติ")[14] ส่วนประเทศและดินแดนในภูมิภาคลาตินอเมริกาอีก 6 แห่งที่ไม่ได้ระบุให้ภาษานี้เป็นภาษาราชการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แม้จะใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาหลักเช่นกัน ได้แก่ อาร์เจนตินา,[15] ชิลี,[16] สาธารณรัฐโดมินิกัน,[17] อุรุกวัย,[18] เม็กซิโก[19] (เป็นภาษาราชการโดยพฤตินัย)[20] และปวยร์โตรีโก[21] ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกา
ภาษาสเปนกลับมามีความสำคัญอีกครั้งในประเทศบราซิล เนื่องจากความใกล้ชิดและการค้าที่ขยายตัวขึ้นระหว่างบราซิลกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ภาษาสเปน เช่น ในฐานะสมาชิกตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง[22] ในปี ค.ศ. 2005 รัฐสภาบราซิลได้ผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้มีการสอนภาษาสเปนเป็นภาษาต่างประเทศในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งของรัฐบาลและของเอกชน[23]นอกจากนี้ ตามเมืองและหมู่บ้านตามชายแดนหลายแห่งของประเทศ โดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับอุรุกวัยและอาร์เจนตินา ยังมีผู้ใช้ภาษาผสมระหว่างภาษาสเปนกับภาษาโปรตุเกสซึ่งเรียกว่า "ปอร์ตูญอล" (portuñol)[24]
ส่วนในประเทศเฮติซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของเกาะฮิสปันโยลา ภาษาฝรั่งเศส และภาษาครีโอลเฮติ (เป็นภาษาผสมที่ได้รับอิทธิพลบางส่วนจากภาษาสเปน) เป็นเพียงสองภาษาที่มีฐานะเป็นภาษาราชการของประเทศ แต่ผู้คนในบริเวณเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านบนเกาะเดียวกัน (คือสาธารณรัฐโดมินิกัน) จะเข้าใจภาษาสเปนในระดับพื้นฐานและนำมาใช้สนทนากันได้อย่างไม่เป็นทางการ
ประเทศนอกภูมิภาคลาตินอเมริกา
ในสหรัฐอเมริกา ภาษาสเปนจะใช้กันมากในรัฐต่าง ๆ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เช่น รัฐเท็กซัส นิวเม็กซิโก แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเม็กซิโกมาก่อน นอกจากนี้ก็ยังใช้กันตามเมืองใหญ่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโก ไมแอมี ฮิวสตัน แซนแอนโทนีโอ เดนเวอร์ บอลทิมอร์ หรือซีแอตเทิล
ภาษาสเปนมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานในสหรัฐอเมริกา จะเห็นได้ว่า ชื่อรัฐ เมือง หมู่บ้าน รวมทั้งสถานที่ภูมิศาสตร์หลายแห่งต่างได้รับการตั้งชื่อเป็นภาษานี้ เช่น โคโลราโด ("ทาด้วยสีแดง") ฟลอริดา ("เต็มไปด้วยดอกไม้") ซานตาเฟ ("ความเชื่ออันบริสุทธิ์") ลาสเวกัส ("ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์") ลอสแอนเจลิส ("เหล่าทูตสวรรค์") แซคราเมนโต ("พิธีรับเป็นคริสต์ศาสนิกชน") และเซียร์ราเนวาดา ("ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ") เป็นต้น ผู้ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับภาษาสเปนในประเทศนี้ ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาหลักมากที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลก[25] และภาษาสเปนยังเป็นภาษาต่างประเทศที่มีผู้เรียนมากที่สุดในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย[26]
ในรัฐนิวเม็กซิโก ภาษาสเปนเป็นภาษาที่ใช้ในการบริหารงานของรัฐ แม้ว่ารัฐธรรมนูญของรัฐจะไม่ได้กำหนดให้ภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นภาษาราชการก็ตาม ภาษาสเปนที่ใช้ในรัฐนี้มีต้นกำเนิดในช่วงการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และยังคงสามารถรักษาลักษณะดั้งเดิมไว้ได้มากจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศเบลีซซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ภาษาสเปนไม่ได้รับการกำหนดให้เป็นภาษาราชการ แต่จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อปี ค.ศ. 2000 พบว่าชาวเบลีซร้อยละ 52.1 สามารถใช้ภาษาสเปนในการสื่อสารได้ดีมาก[27][28] โดยประชากรส่วนใหญ่ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากชาวสเปนซึ่งได้ตั้งรกรากในบริเวณนี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่กระนั้น ภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวของประเทศ[29]
บนเกาะอารูบา (ดินแดนโพ้นทะเลของประเทศเนเธอร์แลนด์ในทะเลแคริบเบียน) มีผู้พูดภาษาสเปนเป็นจำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม ในเกาะเพื่อนบ้านอย่างกือราเซาและโบแนเรอกลับมีผู้พูดเป็นจำนวนน้อย เกาะทั้งสามสามารถรับสื่อแขนงต่าง ๆ เป็นภาษานี้จากประเทศเวเนซุเอลาได้โดยเฉพาะช่องโทรทัศน์ เนื่องจากมีที่ตั้งใกล้ชิดกันมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการสอนภาษาสเปนขั้นพื้นฐานในโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในอารูบาและอดีตเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส เนื่องจากข้อผูกพันทางการค้าและความสำคัญด้านการท่องเที่ยวของประเทศที่ใช้ภาษาสเปนในภูมิภาคแคริบเบียน อย่างไรก็ตาม ดินแดนเหล่านี้ก็ใช้ภาษาดัตช์และภาษาปาเปียเมนโตเป็นภาษาราชการของตนเท่านั้น
สเปนได้เข้ายึดตรินิแดดและโตเบโกเป็นอาณานิคมในปี ค.ศ. 1498 แต่ต่อมาเกาะทั้งสองก็ตกไปอยู่ภายใต้การครอบครองของชาติยุโรปชาติอื่น ๆ และในที่สุดก็ตกเป็นของสหราชอาณาจักรก่อนจะได้รับเอกราช ประเทศนี้จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก อย่างไรก็ตาม การที่มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ ทำให้ตรินิแดดและโตเบโกได้รับอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ภาษาสเปนเป็นหลักค่อนข้างมาก ผลสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่ามีประชากรมากกว่า 1,500 คนที่ใช้ภาษาสเปน[30] ปัจจุบัน รัฐบาลตรินิแดดและโตเบโกได้เริ่มดำเนินการตามแผน "ภาษาสเปนในฐานะภาษาต่างประเทศภาษาที่หนึ่ง" (SAFFL) ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2005[31] เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจและการค้าของประเทศเป็นหลัก โดยกำหนดให้มีการเรียนการสอนภาษาสเปนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา และวางเป้าหมายไว้ว่า ภายในห้าปี ลูกจ้างภาครัฐร้อยละ 30 จะต้องใช้ภาษาสเปนระดับพื้นฐานได้ดี[30]
ทวีปยุโรป
ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการของประเทศสเปน และยังใช้กันในยิบรอลตาร์[32] อันดอร์รา (ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ของประชากรจำนวนมากในประเทศนี้เนื่องจากชาวสเปนจำนวนมากย้ายเข้าไปตั้งรกรากที่นั่น แต่ก็ไม่มีฐานะเป็นภาษาราชการเหมือนภาษากาตาลา[33]) รวมไปถึงในชุมชนขนาดเล็กในประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ (ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ของชาวสวิสร้อยละ 1.7 นับเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยที่ใช้กันมากที่สุดในประเทศรองจากภาษาราชการทั้งสี่ภาษา[34])
ในยิบรอลตาร์ บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงยิบรอลตาร์ (GBC) ออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุเป็นภาษาสเปนและภาษาอังกฤษ[35] ล่าสุดในประเทศรัสเซียกำลังจะเปิดสถานีโทรทัศน์ 24 ชั่วโมงเป็นภาษาสเปน โดยใช้ชื่อว่า Rusia Hoy ("รัสเซียวันนี้")[36]
นอกจากนี้ ภาษาสเปนยังเป็นหนึ่งในภาษาราชการ 23 ภาษาของสหภาพยุโรปอีกด้วย[37] ประชากรในสหภาพยุโรป (นอกเหนือจากชาวสเปน) ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปเกือบ 19 ล้านคนสามารถพูดภาษาสเปนได้ (นับรวมผู้ที่เรียนภาษาสเปนเป็นภาษาต่างประเทศมาอย่างถูกต้องด้วย)[38]
ทวีปแอฟริกา
ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาฝรั่งเศสและเป็นภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศอิเควทอเรียลกินี[39] นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้ภาษานี้ในเมืองต่าง ๆ ของประเทศสเปนริมชายฝั่งแอฟริกาเหนือ (เซวตาและเมลียา) รวมทั้งในกานาเรียสซึ่งเป็นดินแดนของประเทศสเปนในมหาสมุทรแอตแลนติก
ในเมืองทินดูฟ ประเทศแอลจีเรีย มีผู้อพยพลี้ภัยชาวเวสเทิร์นสะฮาราประมาณ 200,000 คนที่สามารถอ่านและเขียนภาษาสเปนได้[40] หลายพันคนจากจำนวนนี้ยังได้รับความช่วยเหลือให้ศึกษาต่อจนถึงระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ (ส่วนใหญ่เป็นคิวบาและสเปน) ส่วนทางภาคเหนือของประเทศโมร็อกโกซึ่งเป็นอดีตรัฐในอารักขาของสเปนและมีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์กับสเปนด้วยนั้น มีประชากรเกือบ 20,000 คนที่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่[41] สถานที่อื่นที่มีชุมชนผู้ใช้ภาษาสเปนอาศัยอยู่ได้แก่เมืองลูเอนาในประเทศแองโกลา อันเป็นผลจากการที่ทหารคิวบาจำนวนมากเข้าไปประจำการที่นั่นในช่วงสงครามเย็น
เมื่อไม่นานมานี้ โกโกบีช เมืองท่องเที่ยวบริเวณชายแดนของประเทศกาบองได้ทำข้อตกลงกับอิเควทอเรียลกินี ส่งผลให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองสองประเทศ ดังนั้น ภาษาสเปนจึงมีสถานะเป็นภาษาราชการของเมืองไปด้วย (นอกเหนือจากภาษาฝรั่งเศส) นอกจากนี้ ภาษาสเปนยังใช้กันในหมู่ชาวอิเควทอเรียลกินีซึ่งหลบหนีออกจากประเทศในช่วงที่ประธานาธิบดีฟรันซิสโก มาซีอัส อึงกูเอมาขึ้นครองอำนาจ ทุกวันนี้พวกเขายังคงอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกาบอง แคเมอรูน และไนจีเรีย[42][43]
ทวีปเอเชีย
แม้ว่าภาษาสเปนจะเคยเป็นภาษาราชการของประเทศฟิลิปปินส์อยู่เป็นเวลากว่าสี่ศตวรรษ แต่ความสำคัญของภาษานี้กลับลดลงในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อสหรัฐอเมริกาได้เข้าครอบครองและบริหารหมู่เกาะแห่งนี้ต่อจากสเปน หลังได้รับเอกราช การนำภาษาอังกฤษมาใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์ได้นำจุดสิ้นสุดในการเป็นภาษาราชการมาสู่ภาษาสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นช่วงที่นางโกราซอน อากีโนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ ปัจจุบันฟิลิปปินส์ใช้ภาษาอังกฤษและภาษาตากาล็อกเป็นภาษาราชการ จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1990 พบว่ามีชาวพื้นเมือง 2,658 คนที่พูดภาษาสเปน[44] นอกจากนี้ยังมีชาวพื้นเมืองในเมืองกาวีเตและเมืองซัมโบวังกาที่พูดภาษาชาบากาโน (Chavacano) ซึ่งเป็นภาษาครีโอล (ภาษาลูกผสม) ที่มีรากมาจากภาษาสเปนโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีกลอเรีย มากาปากัล-อาร์โรโยของฟิลิปปินส์ได้กล่าวในระหว่างการเยือนสเปนอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี ค.ศ. 2007 ว่า วิชาภาษาสเปนจะกลับมาเป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการศึกษาของประเทศอีกครั้งหนึ่ง[45][46] และรัฐบาลฟิลิปปินส์ยืนยันว่าจะบรรจุวิชาภาษาสเปนเข้าไว้ในการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นไป[47]
ในประเทศจีน สถานีโทรทัศน์กลางแห่งชาติ (CCTV) เริ่มแพร่ภาพออกอากาศทางช่อง CCTV-E เป็นภาษาสเปนตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007
เขตโอเชียเนีย
ในบรรดาประเทศและดินแดนต่าง ๆ ในเขตโอเชียเนีย มีผู้ใช้ภาษาสเปนอยู่มากในเกาะอีสเตอร์ซึ่งเป็นดินแดนในมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศชิลี
นอกจากนี้ในประเทศออสเตรเลีย จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2001 พบว่ามีผู้พูดภาษาสเปน 93,593 คน[48][49] และเพิ่มขึ้นเป็น 98,001 คนจากผลการสำรวจในปี ค.ศ. 2006 ส่วนใหญ่ในจำนวนนี้เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองซิดนีย์[50]
ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ จากผลการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2001 พบว่ามีผู้ใช้ภาษาสเปนทั้งหมด 14,676 คน[51][52]และจากผลการสำรวจในปี ค.ศ. 2006 ตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเป็น 21,645 คน[53]
ในเกาะกวม หมู่เกาะปาเลา หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา หมู่เกาะมาร์แชลล์ และหมู่เกาะไมโครนีเซียเคยมีผู้ใช้ภาษาสเปนเช่นกัน เนื่องจากในอดีต หมู่เกาะมาเรียนาและหมู่เกาะคาโรไลน์อยู่ภายใต้ครอบครองของสเปน จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1898 เมื่อสเปนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามกับสหรัฐอเมริกา ภาษาสเปนจึงเริ่มหายไปจากดินแดนเหล่านี้นับแต่นั้น