ซุคฮอย ซู-27

ซุคฮอย ซู-27 (อังกฤษ: Sukhoi Su-27) (นาโต้ใช้ชื่อรหัสว่าแฟลงเกอร์) เป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์ไอพ่นหนึ่งและสองที่นั่ง ซึ่งเดิมผลิตโดยสหภาพโซเวียต และออกแบบโดยซุคฮอย มันเปรียบได้กับเครื่องบินรุ่นที่สี่ของสหรัฐอเมริกา พร้อมพิสัย 3,530 กิโลเมตร อาวุธขนาดหนัก ระบบอิเลคทรอกนิกอากาศที่ยอดเยี่ยม มีความคล่องแคล่ว ซู-27 มักทำภารกิจครองความได้เปรียบทางอากาศ แต่มันก็สามารถปฏิบัติภารกิจรบอื่นๆ ได้เช่นกัน มันมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมิก-29 ที่เล็กกว่า และมีส่วนประกอบที่ใกล้เคียงกับเอฟ-15 อีเกิลของอเมริกาแต่มีความคล่องตัวเหนือกว่า

ซู-27
บทบาทเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศ
ชาติกำเนิด สหภาพโซเวียต
บริษัทผู้ผลิตซุคฮอย
บินครั้งแรก20 พฤษภาคม พ.ศ. 2520
เริ่มใช้เดือนธันวาคม พ.ศ. 2527
สถานะอยู่ในการผลิตและประจำการ
ผู้ใช้งานหลักกองทัพอากาศรัสเซีย
กองทัพอากาศจีน
กองทัพอากาศยูเครน
ผู้ใช้รายอื่นดูที่นี่
ช่วงการผลิตพ.ศ. 2527-ปัจจุบัน
จำนวนที่ผลิต680 ลำ[1]
มูลค่า30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 960 ล้านบาท )
แบบอื่นซู-30
ซู-33
ซู-34
ซู-35
ซู-37
เช็งยาง เจ-11

มีการพัฒนามากมายของซู-27 ซู-30 เป็นแบบสองที่นั่งทำหน้าที่ทุกสภาพอากาศ ทำการสกัดกั้นทางอากาศและพื้นดินในระยะใกล้ เทียบได้กับเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล ซู-33 แฟลงเกอร์-ดีสำหรับการป้องกันในกองทัพเรือซึ่งใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบิน เทียบได้กับเอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ท รุ่นนอกเหนือจากนั้นยังมีทั้งซู-34 ฟุลแบ็คสองที่นั่งคู่และซู-35 แฟลงเกอร์-อีสำหรับการป้องกันทางอากาศ

การพัฒนา

เบื้องหลัง

ในปีพ.ศ. 2512 สหภาพโซเวียตได้รับข่าวเกี่ยวกับการออกแบบครื่องบินแบบใหม่โดยแมคดอนเนลล์ ดักลาสในโครงการคัดเลือกเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐ (ซึ่งก่อให้เกิดเอฟ-15 อีเกิล) เพื่อที่ตอบโต้ภัยคุกคามใหม่ทางโซเวียตจึงเริ่มโครงการพีเอฟไอ (ย่อมาจาก perspektivnyi frontovoy istrebitel หรือเครื่องบินขับไล่แนวหน้าชั้นนำ) สำหรับเครื่องบินที่สามารถเทียบชั้นกับของอเมริกาได้

เมื่อข้อกำหนดถูกมองว่าท้าทายและแพงเกินไปสำหรับเครื่องบินขับไล่ลำเดียว ข้อระบุของพีเอฟไอจึงถูกแบ่งออกเป็นสอง คือ แอลพีเอฟไอ (ย่อมาจาก Lyogkyi PFI หรือเครื่องบินขับไล่แนวหน้าชั้นนำขนาดเบา) และทีพีเอฟไอ (ย่อมาจาก Tyazholyi PFI หรือเครื่องบินขับไล่แนวหน้าชั้นนำขนาดเบา) โครงการแรกทำให้เกิดมิก-29 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีพิสัยใกล้ ในขณะที่โครงการที่สองถูกมอบหมายให้กับบริษัทซุคฮอย ซึ่งได้สร้างซู-27 และแบบต่างๆ ออกมา โครงการทีพีเอฟไอนั้นคล้ายคลึงกับโครงการเอฟ-เอกซ์ ซึ่งทำให้เกิดเอฟ-15 อีเกิล ในขณะที่โครงการแอลพีเอฟไอคล้ายกับโครงการเครื่องบินขบไล่ขนาดเบาที่สร้างเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนและนอร์ธทรอป วายเอฟ-17ที่กลายมาเป็นเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท

การออกแบบ

ซู-27 จากทีมบินผาดโผนของรัสเซีย

การออกแบบของซู-27 มีพื้นฐานอากาศพลศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับมิก-29 เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า มันเป็นอากาศยานที่มีขนาดใหญ่มากและเพื่อลดน้ำหนักโครงสร้างของมันจึงต้องใช้ไทเทเนียมในสัดส่วนที่สูง (ประมาณ 30% ซึ่งมากกว่าเครื่องบินลำใดๆ ในสมัยเดียวกัน) และมันไม่ใช้วัสดุผสม มีปีกลู่กลมกลืนเข้ากับลำตัวที่โคนปีกและเป็นแบบปีกสามเหลี่ยม แม้ว่าที่ปลายปีกถูกตัดให้สั้นเพื่อติดตั้งขีปนาวุธหรือกระเปาะตอบโต้อิเลคทรอนิก ซู-27 นั้นไม่ใช่เครื่องบินปีกสามเหลี่ยมอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเพราะว่ามันมีส่วนหางคู่ที่ตั้งอยู่นอกเครื่องยนต์

เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนไลยูก้า เอแอล-31เอฟของซู-27 มีพื้นที่หน้าตัดมากนั่นก็เพื่อทั้งความปลอดภัยและเพื่อป้องกันไม่ให้มีการขัดขวางอากาศที่ไหลผ่านเข้าช่องรับลม พื้นที่ระหว่างเครื่องยนต์ยังเพิ่มแรงยกและลดน้ำหนักที่ปีกต้องรับ กังหันที่เคลื่อนที่ได้ในช่องรับลมทำให้มันทำความเร็วได้ถึง 2 มัคและช่วยการไหลเวียนของอากาศในเครื่องยนต์ในมุมปะทะระดับสูง ตะแกรงเหรือช่องรับลมมีเพื่อป้องกันไม่ให้มีเศษวัสดุถูกดูดเข้าเครื่องยนต์ขณะบินขึ้น

ซู-27 เป็นการใช้ระบบฟลาย-บาย-ไวร์ครั้งแรกของสหภาพโซเวียต มันพัฒนามาจากโครงการเครื่องบินทิ้งระเบิดซุคฮอย ที-4 ของซุคฮอย ด้วยการผสมกับน้ำหนักบนปีกที่น้อยและการควบคุมที่ทรงพลัง มันทำให้เครื่องบินมีความว่องไวและควบคุมได้ในความเร็วต่ำและมุมปะทะระดับสูง ในงานแสดงทางอากาศมันได้แสดงให้เห็นถึงความคล่องแคล่วโดยทำมุมปะทะ 120° แรงขับของมันทำให้เครื่องบินเลี้ยวได้แคบจนแทบไม่มีรัศมี

กระบวนท่าพูกาเชฟคอบร้าของ ซู-27

สำหรับรุ่นกองทัพเรือ ซู-27เค (หรือซู-33) มีการติดตั้งปีกเสริมเพื่อเพิ่มแรงยกและลดระยะที่ใช้บินขึ้น ปีกเสริมเหล่านี้ยังมีในซู-30 ซู-35 และซู-37 บางรุ่น

นอกจากความคล่องแคล่วของมันแล้วซู-27 ยังใช้พื้นที่ของมันเพิ่มความได้เปรียบในการบรรจุเชื้อเพลิงภายใน เพื่อเพิ่มพิสัยให้ได้มากที่สุดมันสามารถจุเชื้อเพลิง 9,400 กิโลกรัมไว้ภายในได้ แม้ว่าจะเป็นข้อจำกัดในความคล่องตัวของมัน และมักจุ 5,270 กิโลกรัมโดยปกติ

ซู-27 มีอาวุธเป็นปืนใหญ่อากาศเกรยาเซฟ-ชิปูนอฟ จีเอสเอช-30-1 หนึ่งกระบอกที่โคนปีก และมีจุดติดตั้งอาวุธ 10 จุดสำหรับขีปนาวุธและอาวุธอื่นๆ ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศที่มักใช้คือวิมเปล อาร์-73 วิมเปล อาร์-27 ในรุ่นที่ก้าวหน้ากว่าอย่างซู-30 -35 -37 ยังสามารถใช้วิมเปล อาร์-77 ได้อีกด้วย

ซู-27 มีจอฮัดและหมวกติดกล้อง ซึ่งจะคู่กับอาร์-77 และความว่องไวของเครื่องบินทำให้มันเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่ทำการรบในระยะแบบด๊อกไฟท์ได้ดีที่สุดในโลก

ซู-27 ได้รับการติดตั้งระบบเรดาร์ของฟาโซตรอนรุ่น N001ซุค ซึ่งเป็นเฟสดอปเลอร์เรดาร์ที่ก้าวหน้ามาก สามารถตรวจจับวัตถุขนาด 3 ตารางเมตรได้ในระยะกว่า 100 กิโลเมตรในแนวรัศมีครึ่งวงกลมด้านหน้าและ 40 กิโลเมตรในแนวรัศมีครึ่งวงกลมทางด้านหลัง เรดาร์นี้มีความสามารถในการตรวจจับเป้าหมายได้ถึง 10 เป้าหมายและโจมตี 2 - 4 เป้าหมายนั้นได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถประเมินระดับของภัยคุกคามได้โดยอัตโนมัติ

ในรุ่นหลังๆของซู-27 ได้มีการติดตั้งเรดาร์และระบบเตือนภัยแบบเอสพีโอ-15 (แอล-006) เบอร์โยซา เอาไว้ที่หางทางด้านหลัง พร้อมด้วยแฟลร์ลวงขีปนาวุธ 32 ชุด นอกจากนี้ยั้งมีการติดตั้งระบบลวงพรางทางสงครามอิเลคโทรนิคส์เอาไว้อีกด้วย

ซู-27 มีระบบติดตามและตรวจหาแบบอินฟราเรดหรือไออาร์เอสที (infrared search and track, IRST) ที่ติดตั้งอยู่บนส่วนจมูกเครื่องบินด้านหน้าห้องนักบิน ซึ่งทำงานร่วมกับตัวหาระยะแบบเลเซอร์ ระบบนี้สามารถเชื่อมต่อกับเรดาร์, หมวกติดกล้อง หรือใช้แบบแยกต่างหากสำหรับการโจมตีแบบ"ล่องหน"โดยใช้ขีปนาวุธอินฟราเรด มันยังทำหน้าที่ควบคุมปืนเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

ในขณะที่ซู-27 และแบบต่อจากมัน (ซู-35 และ ซู-37) มีความคล่องตัวและการทำงานที่ยอดเยี่ยม แต่ขนาดที่ใหญ่โตของมันก็ทำให้อาจถูกตรวจจับโดยเรดาร์ได้ค่อนข้างง่ายเช่นเดียวกันกับ เอฟ-15

ในปีพศ. 2545 วารสาร Journal of Electronic Defense รายงานว่า ทางรัสเซียประสบผลสำเร็จในการพัฒนาระบบล่องหนพลาสมา (plasma-cloud-generation technology for stealth applications) และได้ทำการทดสอบกับซู-27ไอบี และสามารถลดขนาดที่สามารถถูกตรวจจับโดยเรดาร์ลงได้ถึงร้อยเท่า [2] ปัจจุบัน จำนวนเครื่องซู-27 ที่ได้รับการติดตั้งระบบนี้ยังเป็นความลับอยู่

การใช้ระบบล่องหนพลาสมา จะทำให้สามารถล่องหนจากเรดาร์ไปพร้อมกับรักษาความคล่องตัวในการบินเอาไว้ได้ในขณะเดียวกัน ทำให้เหนือกว่าเครื่องบินที่ต้องพึ่งพาวัสดุพรางเรดาร์ ซึ่งมักจะมีความแข็งแรงต่ำ ทำให้ความคล่องตัวต่ำลงอีกด้วย

ประวัติการใช้งาน

ซู-27 ทำหน้าที่น้อยมากตั้งแต่ที่มันเข้าประจำการ แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่น่าเกรงขามที่สุดในโลก

ซู-27 ของเอธิโอเปียได้รายงานว่ายิงมิก-29 ห้าลำของเอริเทียตก[3] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 และอีกครั้งในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 [4][5] ซู-27 ยังถูกใช้ในภารกิจการบินรบรักษาเขต การกดดันการป้องกันทางอากาศ และคุ้มกันภารกิจทิ้งระเบิดหรือสอดแนม[6] ในสงครามโซมาเลียกองทัพอากาศเอริเทียใช้ซู-27 ได้อย่างร้ายกาจด้วยการทิ้งระเบิดใส่กองประจำการของอิสลามและบินลาดตระเวนซู-27 เข้าประจำการในแอนโกลันเมื่อปีพ.ศ. 2543 มีการรายงานว่าซู-27 ลำหนึ่งถูกลอบยิงโดยขีปนาวุธประทับบ่าเอสเอ-14 ขณะทำการลงจอด โดยฝ่ายยูนิต้าในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543[3][7]

ในปีพศ. 2547 กองทัพอากาศสหรัฐได้ส่ง เอฟ-15ซี/ดี เข้าร่วมซ้อมรบกับกองทัพอากาศอินเดีย ในปฏิบัติการ Cope-India 04 ซึ่งทางอินเดียได้ใช้ Sukhoi Su-30MKI เป็นเครื่องครองอากาศ ผลปรากฏว่าชัยชนะเป็นของฝ่ายอินเดียในการประลอง [8]

ล่าสุดในสงครามออสเซเทียใต้ รัสเซียได้ใช้ซู-27 เพื่อครองอากาศเหนือทซฮินวาลีเมืองหลวงของออสเซเทียใต้[9][10]

พัฒนาการของระบบเรดาร์และปัญหาที่ประสบ

ในช่วงแรกๆ ซู-27 เคยมีปัญหาใหญ่กับการพัฒนาระบบเรดาร์ ซึ่งเดิมนั้น โซเวียตต้องการให้มันดีมาก ปะทะได้หลายเป้าหมายพร้อมกัน และมีพิสัย 200 กิโลเมตรต่อเครื่องบินทิ้งระเบิด มันเป็นอะไรที่เหนือกว่าเรดาร์เอพีจี-63 ของเอฟ-15 อย่างมาก

เพื่อทำให้มันเป็นไปได้โดยที่ต้องไม่มีน้ำหนักมากเกินไป ทีมออกแบบจึงสร้างเรดาร์ที่ใช้การตรวจจับแบบอิเลคทรอนิกและแบบกลไกขึ้นมา โชคร้ายที่มันเป็นสิ่งที่ยากเกินไปที่อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกของโซเวียตในทศวรรษที่ 1970 จะทำได้ และเมื่อถึงปีพ.ศ. 2525 โครงการมีสค์เดิมก็ถูกละทิ้งและเรดาร์ที่ด้อยกว่าก็ถูกเลือกใช้แทน เพื่อทดแทนเวลาที่เสียไปเทคโนโลยีมากมายจากเรดาร์เอ็น 019 โทปาซจึงถูกนำมาใช้ รวมทั้งเสาสัญญาณที่ใช้กับมิก-29 ซึ่งถูกทำใหญ่ขึ้น และผลที่ได้คือเรดาร์เอ็น 001 ที่ใช้ตัวประมวลสัญาณทีเอส 100 ที่ใช้กับเรดาร์เอ็น 019 โทปาซ ในขณะที่เรดาร์เอ็น 001 วีใช้ตัวประมวลสัญญาฯทีเอส 101 เอ็ม ในเวลานั้นเรดาร์มีพิสัยตรวจจับประมาณ 140 กิโลเมตรเมื่อเจอกับตู-16 และสามารถปะทะได้ทีละเป้าหมายเท่านั้น ในตอนแรกเรดาร์มีปัญหาที่ยังต้องแก้ไขอีกหลายอย่าง และทำให้เอ็น 001 ถูกเลือกใช้ประจำการในปี พ.ศ. 2534 ห้าปีหลังจากที่ซู-27 เข้าประจำการครั้งแรกในปีพ.ศ. 2529

เรดาร์ตระกูลเอ็น 001 แบบแรกเป็นเรดาร์คลื่นพัลส์ที่มีความสามารถในการติดตามพร้อมตรวจจับ แต่ตัวประมวลผลของมันนั้นเป็นแบบดั้งเดิม ทำให้มันเกิดความผิดพลาดได้เป็นบางครั้ง เช่นเดียวกับความยากในการใช้งาน แต่ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเรดาร์เอ็น 001 ก็ได้รับการพัฒนามากมายจนทำให้เกิดเอ็น 001 วี เอ็น 001 วีอี เอ็น 001 วีอีพี ซึ่งทั้งหมดถูกนำเข้าประจำการ รวมทั้งซู-27 ที่ส่งออกด้วย หัวหน้าผู้ออกแบบซัลซัน เอส-800 ให้กับมิก-31 และผู้เชี่ยวชาญได้เสริมการออกแบบเพื่อแทนที่เรดาร์ตระกูลเอ็น 001

ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าการพัฒนาเรดาร์ตระกูลเอ็น 001 นั้นไปถึงขีดจำกัดแล้ว ทำให้เครื่องบินรุ่นใหม่ขึ้น เช่นซู-30 และซู-35/37 ใช้เรดาร์ทิโคมิรอฟ เอ็น 011 เอ็มพร้อมกับพีอีเอสเอ พิสัยที่มากขึ้น ความสามารถในการจัดการได้หลายเป้าหมาย และการตอบสนองไว เรดาร์ดังกล่าวถูกกำหนดให้ถูกแทนที่โดยเรดาร์ไอร์บริส-อีในอนาคต คู่แข่งของทิโคมิรอฟ ฟาโซตรอน ยังได้เสนอเรดาร์ที่คล้ายคลึงกับพีอีเอสเอ

แบบต่างๆ

ในยุคโซเวียต

ภาพด้านซ้ายของซุคฮอย ซู-27 แฟลงเกอร์ บี เป็นซีรีส์สแรกในการผลิต
ภาพด้านซ้ายของซุคฮอย ซู-27 แฟลงเกอร์ บี เป็นซีรีส์สสุดท้ายในการผลิต
  • ที10 ("แฟลงเกอร์-เอ") : เป็นต้นแบบแรก
  • ที10เอส: เป็นต้นแบบที่ได้รับการพัฒนา คล้ายกับแบบที่ผลิต
  • พี-42: เป็นรุ่นพิเศษที่สร้างเพื่อทำลายสถิติการไต่ระดับ มันถูกนำเอาอาวุธทั้งหมด เรดาร์ และสีออกเพื่อลดน้ำหนักจนเหลือ 14,100 กิโลกรัม มันมีเครื่องยนต์พิเศษที่พัฒนาเพิ่ม
  • ซู-27: เป็นซีรีส์สที่สร้างออกมาก่อนการผลิตในจำนวนน้อยพร้อมกับเครื่องยนต์เอแอล-31
  • ซู-27เอส (ซู-27 / "แฟลงเกอร์-บี") : เป็นแบบหนึ่งที่นั่งในการผลิตแรกๆ พร้อมกับเครื่องยนต์เอแอล-31เอฟ
  • ซู-27ยูบี ("แฟลงเกอร์-ซี") : เป็นแบบสองที่นั่งในการผลิตแรกๆ โดยสร้างมาเพื่อใช้ในการฝึก
  • ซู-27เอสเค: เป็นรุ่นหนึ่งที่นั่งเพื่อการส่งออก
  • ซู-27ยูบีเค: เป็นรุ่นสองที่นั่งเพื่อการส่งออก
  • ซู-27เค (ซู-33 / "แฟลงเกอร์-ดี") : เป็นรุ่นทีหนึ่งที่นั่งที่ใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบิน มีจำนวนน้อย พวกมันคล้ายกับต้นแบบ"ที10เอ"

หลังยุคโซเวียต

  • ซู-27พีดี: เป็นแบบที่นั่งเดียวพร้อมกับการพัฒนาอย่างระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ
  • ซู-27พียู (ซู-30) : เป็นรุ่นสองที่นั่งที่ผลิตออกมาอย่างจำกัด มันมีระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ระบบอิเลคทรอนิกอากาศพิเศษ ระบบควบคุมการบินแบบใหม่
  • ซู-30เอ็ม / ซู-30เอ็มเค: เป็นรุ่นสองที่นั่งหลากบทบาท ซู-30เอ็มถูกสร้างออกมาน้อยมากในปีพ.ศ. 2534 รุ่นส่งออกของซู-30เอ็มเคจะมีความสามารถที่แตกต่างออกไป
  • ซู-30เอ็มเคเอ: เป็รรุ่นสองออกสำหรับแอลจีเรีย
  • ซู-30เอ็มเคไอ (แฟลงเกอร์-เอช): ซู-30เอ็มเคที่ได้รับการพัฒนาให้กับกองทัพอากาศอินเดีย มันมีปีกปลอม เครื่องยนต์แรงขับสูง ระบบอิเลคทรอนิกอากาศแบบใหม่ และหลากบทบาท
  • ซู-30เอ็มเคเค (แฟลงเกอร์-จี): เป็นซู-30เอ็มเคสำหรับกองทัพอากาศจีน พร้อมกับความสามารถในหลากบทบาทและระบบอิเลคทรอนิกอากาศแบบใหม่ แต่ไม่มีเครื่องยนต์ใหม่หรือปีกปลอม กองทัพเรือจีนยังได้ซื้อ"ซู-30เอ็มเค2" อีกด้วย
  • ซู-30เอ็มเคเอ็ม: เป็นแบบลอกมาจากซู-30เอ็มเคไอพร้อมกับข้อแตกต่างอีกเล็กน้อย มันสร้างมาให้กับกับมาเลเซีย
  • ซู-30เคเอ็น (แฟลงเกอร์-บี ม็อด. 2) : เป็นแบบที่นั่งเดียวที่มีระบบอิเลคทรอกนิกอากาศแบบใหม่ที่ทำให้ซู-30เคเอ็นทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • ซู-30เคไอ (แฟลงเกอร์-บี ม็อด. 2) : เป็นแบบที่นั่งเดียวที่มีจุดเด่นของซู-30เอ็มเคโดยสร้างให้กับอินโดนีเซีย
  • ซู-27เอ็ม (ซู-35 / -37, แฟลงเกอร์-อี/เอฟ) : เป็นการพัฒนาสู่การเป็นเครื่องบินซู-27 แบบหลากบทบาทที่มีหนึ่งที่นั่ง มันยังรวมทั้ง"ซู-35ยูบี"แบบสองที่นั่งอีกด้วย
  • ซู-27เอมเอ็ม (แฟลงเกอร์-บี ม็อด. 1) : เป็นซู-27เอสที่พัฒนาแล้วของรัสเซีย โดยมีจุดเด่นของซู-27เอ็ม
  • ซู-27เอสเคเอ็ม: เป็นเครื่องบินขับไล่หนึ่งที่นั่งหลากบทบาทสำหรับการส่งออก มันดัดแปลงมาจากซู-27เอสเคแต่รวมทั้งการพัฒนาของห้องนักบิน ระบบป้องกันอิเลคทรอนิก และระบบเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ[11]
  • ซู-27ยูบีเอ็ม: เป็นซู-27ยูบีสองที่นั่งที่ได้รับการพัฒนา
  • ซู-32 (ซู-27ไอบี) : เป็นแบบโจมตีสองที่นั่งพิสัยไกล โดยเป็นที่นั่งคู่ มันเป็นต้นแบบของซู-32เอฟเอ็นและซู-34 ฟุลแบ็ค
  • ซู-27เคยูบี: เป็นซู-27เคหนึ่งที่นั่งที่ใช้บนเรือบรรทุกเครื่องบินพร้อมกับที่นั่งคู่สำหรับฝึก
  • ซู-27บีเอ็ม (ซู-35): มันถูกขนานนามว่า"แฟลงเกอร์รุ่นสุดท้าย" มันเป็นการพัฒนาล่าสุดจากตระกูลแฟลงเกอร์ของซุคฮอย มันมีทั้งเรดาร์และระบบอิเลคทรอนิกใหม่

ประเทศผู้ใช้งาน

ประเทศผู้ใช้งานซู-27

มีซู-27 ประมาณ 680 ลำที่ผลิตออกมาโดยสหภาพโซเวียตและรัสเซีย ในจำนวนนี้รวมซู-27 เท่านั้นและไม่ได้รวมรุ่นที่ดัดแปลงในเวลาต่อๆ มา

 แองโกลา
กองกำลังป้องกันทางอากาศแอนโกลามีซู-27 และซู-27ยูบีทั้งหมด 8 ลำ[12]
 เบลารุส
กองทัพอากาศเบลารุสได้รับซู-27 23 ลำจากสหภาพโซเวียต[12] ในปีพ.ศ. 2551 เบลารุสมีในประจำการอยู่ 23 ลำ[12]
 สาธารณรัฐประชาชนจีน
กองทัพอากาศจีนมีซู-27 76 ลำที่รัสเซียให้ก่อนทำสัญญาในปีพ.ศ. 2541 เพื่อออกแบบใหม่ให้กับจีนโดยเฉพาะอย่างเช็งยาง เจ-11 (สร้างออกมาประมาณ 100 ลำในปีพ.ศ. 2547)
 เอริเทรีย
กองทัพอากาศเอริเทียมีซู-27เอสเค/-27ยูบี 8 ลำในปีพ.ศ. 2546[12]
 เอธิโอเปีย
กองทัพอากาศเอธิโปเปียมีซู-27เอสเค 11 ลำ ซู-27พี 3 ลำ และซู-27ยูบี 4 ลำ[12]
 อินโดนีเซีย
กองทัพอากาศอินโดนีเซียมีซู-27เอสเค 2 ลำเมื่อต้นปีพ.ศ. 2552 ในปีพ.ศ. 2553 จะได้รับซู-27เอสเคเอ็มอีก 3 ลำ[12]
 คาซัคสถาน
มีประมาณ 30 ลำและจะมีมาเพิ่มอีก 12 ลำตามข้อตกลง[12]
 รัสเซีย
กองทัพอากาศรัสเซียมี 449 ลำในประจำการ[13] ปัจจุบันรัสเซียวางแผนที่จะพัฒนาให้เป็นซู-27เอสเอ็ม ซึ่งจะรวมทั้งการเปลี่ยนกระจกห้องนักบินและเปลี่ยนเป็นระบบฟลาย-บาย-ไวร์ เรดาร์ก็ได้รับการพัฒนาเช่นกัน ระบบป้องกันตัวและการนำร่องของมันจะได้รับการพัฒนาเช่นกัน พวกเขาหวังว่าการพัฒนาเหล่านี้จะเสร็จสิ้นในปีพ.ศ. 2552
 ยูเครน
กองทัพอากาศยูเครนมี 74 ลำในประจำการเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551[14]
 อุซเบกิสถาน
มี 25 ลำในประจำการ[12]
 เวียดนาม
กองทัพอากาศเวียดนามมีซู-27เอสเค 36 ลำ[15]
 สหรัฐ
สหรัฐอเมริกาได้รับซู-27 สองลำในปีพ.ศ. 2538 อาจใช้ในการผึกรบ[12][16] อีกสองลำถูกซื้อมาจากยูเครนในปีพ.ศ. 2552[17]

อดีตผู้ใช้งาน

 สหภาพโซเวียต
กองทัพอากาศโซเวียตและกองป้องกันทางอากาศของโซเวียต

รายละเอียด ซู-27

  • ลูกเรือ 1 หรือ 2 นาย
  • ความยาว 21.9 เมตร
  • ระยะระหว่างปลายปีทั้งสอง 14.7 เมตร
  • ความสูง 5.92 เมตร
  • พื้นที่ปีก 62 ตารางเมตร
  • น้ำหนักเปล่า 16,380 กิโลกรัม
  • น้ำหนักพร้อมอาวุธ 23,430 กิโลเมตร
  • น้ำหนักสิ่งขึ้นสูงสุด 30,450 กิโลกรัม
  • ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแซทเทิร์น/ไลยูก้า เอแอล-31เอฟสองเครื่องยนต์
    • กำลังสูงสุดเครื่องละ 16,910 ปอนด์
    • เมื่อใช้สันดาปท้ายให้กำลังเครื่องละ 27,560 ปอนด์
  • ความเร็วสูงสุด 2.35 มัค (2,500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) บนระดับสูง
  • พิสัย 3,530 กิโมตรบนระดับสูง (1,340 กิโลเมตรในระดับทะเล)
  • เพดานบินทำการ 62,523 ฟุต
  • อัตราการไต่ระดับ 64,000 ฟุตต่อนาที
  • น้ำหนักที่ปีกรับได้ 371 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
  • อัตราแรงจับต่อน้ำหนัก 1.09
  • อาวุธ
    • ปืนใหญ่อากาศจีเอสเอช-30-1 ขนาด 30 ม.ม. หนึ่งกระบอก พร้อมกระะสุน 275 นัด
    • ติดตั้งอาวุธได้ 10 ตำแหน่ง (8,000 กิโลกรัม)
    • ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางอาร์-27 6 ลูก ขีปนาวุธอากาศสู่อากาสติดตามความร้อนพิสัยใกล้อาร์-73 2 ลูก
      • ซู-27เอสเอ็มสามารถใช้อาร์-77 แทนอาร์-27 ได้

[18][19][20]

อุบัติเหตุ

ดูเพิ่ม

การพัฒนาที่เกี่ยวข้อง

อากาศยานที่เทียบเท่า

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง