ประเทศอินโดนีเซีย

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

5°S 120°E / 5°S 120°E / -5; 120

สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

Republik Indonesia  (อินโดนีเซีย)
คำขวัญบินเนกาตุงกัลอีกา (ชวาเก่า)
("ความสามัคคีในความหลากหลาย")
อุดมการณ์แห่งชาติ: ปัญจศีล[1][2]
เพลงชาติ"อินโดเนซียารายา"
("อินโดนีเซียอันยิ่งใหญ่")
เมืองหลวงจาการ์ตา (ปัจจุบัน)
นูซันตารา (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง)
6°10′S 106°49′E / 6.167°S 106.817°E / -6.167; 106.817
เมืองใหญ่สุดจาการ์ตา
ภาษาทางการ
และภาษาประจำชาติ
อินโดนีเซีย
ภาษาระดับภูมิภาคมากกว่า 700 ภาษา[3]
กลุ่มชาติพันธุ์
มากกว่า 1,300 กลุ่มชาติพันธุ์[4]
ศาสนา
(ค.ศ. 2018)[5]
  • 86.70% อิสลาม
  • 10.72% คริสต์
  • 1.74% ฮินดู
  • 0.77% พุทธ
  • 0.03% ลัทธิขงจื้อ
  • 0.4% พื้นเมือง/อื่น ๆ
เดมะนิมชาวอินโดนีเซีย
การปกครองรัฐเดี่ยว ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ
โจโก วีโดโด
• รองประธานาธิบดี
มะอ์รุฟ อามิน
• ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ปูวัน มาฮารานี
• ประธานศาลสูงสุด
มูฮัมมัด ชารีฟุดดิน
สภานิติบัญญัติรัฐสภา (MPR)
สภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD)
สภาผู้แทนประชาชน (DPR)
เป็นเอกราช 
• ประกาศ
17 สิงหาคม ค.ศ. 1945
27 ธันวาคม ค.ศ. 1949
พื้นที่
• พื้นดิน
1,904,569[6] ตารางกิโลเมตร (735,358 ตารางไมล์) (14th)
• พื้นน้ำ (%)
4.85
ประชากร
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2020
270,203,917[7] (อันดับที่ 4)
141 ต่อตารางกิโลเมตร (365.2 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 88)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 3.995 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 7)
เพิ่มขึ้น 14,535 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 96)
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 1.289 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 17)
เพิ่มขึ้น 4,691 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 104)
จีนี (ค.ศ. 2019)Negative increase 38.2[9]
ปานกลาง
เอชดีไอ (ค.ศ. 2021)ลดลง 0.705[10]
สูง · อันดับที่ 114
สกุลเงินรูปียะฮ์อินโดนีเซีย (Rp) (IDR)
เขตเวลาUTC+7 ถึง +9 (จำนวนมาก)
รูปแบบวันที่วว/ดด/ปปปป
ไฟบ้าน220 โวลต์–50 เฮิร์ซ
ขับรถด้านซ้าย
รหัสโทรศัพท์+62
โดเมนบนสุด.id

อินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Indonesia) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย: Republik Indonesia) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ระหว่างคาบสมุทรอินโดจีนและทวีปออสเตรเลีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียบนเกาะบอร์เนียวหรือกาลีมันตัน (Kalimantan), ประเทศปาปัวนิวกินีบนเกาะนิวกินีหรืออีรียัน (Papua) และประเทศติมอร์-เลสเตบนเกาะติมอร์ ประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลีย, ปาเลา, และอินเดีย (หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์) อินโดนีเซียยังเป็นประเทศหมู่เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 14 ของโลกด้วยพื้นที่ 1,904,569 ตารางกิโลเมตร (735,358 ตารางไมล์) และมีประชากรราว 278 ล้านคน[11] ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 4 ของโลก โดยกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่เกาะชวา[12] และยังเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก[13][14][15]

อินโดนีเซียเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐธรรมนูญซึ่งมีสภานิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้ง และมีทั้งสิ้น 38 จังหวัด โดย 9 จังหวัดมีสถานะพิเศษ กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสองของโลก[16][17] อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีพื้นที่ป่าไม้ที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[18] และยังเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะมากที่สุดในโลก[19] (ประมาณ 17,000 เกาะ)

หมู่เกาะทั้งหมดของอินโดนีเซียเป็นดินแดนการค้าหลักในภูมิภาคมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เริ่มต้นตั้งแต่อาณาจักรศรีวิชัยและต่อมาจนถึงอาณาจักรมัชปาหิตซึ่งทำการค้ากับชาวจีนแผ่นดินใหญ่และพ่อค้าจากอนุทวีปอินเดีย ส่งผลให้ประชากรท้องถิ่นค่อย ๆ ซึมซับอิทธิพลจากต่างประเทศตั้งแต่ศตวรรษแรก ๆ และได้มีการแผ่ขยายของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง ต่อมา พ่อค้านิกายซุนนีและลัทธิศูฟีได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่และได้มีอิทธิพลต่อคนในสังคมจนกลายเป็นศาสนาหลักมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่เข้าสู่สังคมโดยนักสำรวจชาวยุโรป ชาวดัตช์ถือเป็นมหาอำนาจหลักที่ยึดครองดินแดนแห่งนี้ตลอด 350 ปี[20][21] แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับการรุกรานจาก โปรตุเกส อังกฤษ และ ฝรั่งเศสบ้าง แนวความคิดการสร้างชาติและการปลดแอกตนเองของชาวอินโดนีเซียในฐานะรัฐชาติได้ปรากฏขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และจบลงด้วยการประกาศอิสรภาพใน ค.ศ. 1945 ตามด้วยการประกาศรับรองอธิปไตยอย่างเป็นทางการจากเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1949 ภายหลังจากความขัดแย้งทางการทหารและการทูตระหว่างสองประเทศ[22] ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่าน อินโดนีเซียต้องเผชิญเหตุการณ์มากมาย อาทิ การทุจริตในประเทศ ความขัดแย้งทางการเมือง การแบ่งแยกดินแดน ภัยธรรมชาติ และความผันผวนของเศรษฐกิจ

อินโดนีเซียประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์และภาษาพื้นเมืองหลายร้อยกลุ่ม โดยชาวชวาเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด และยังมีพหุนิยมทางศาสนา[23][24] ตามคำขวัญที่ว่า "Bhinneka Tunggal Ika"[25] ("Unity in Diversity" ซึ่งหมายถึง "เอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย")[26] ซึ่งกำหนดโดยภาษาประจำชาติ เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 16 ของโลกโดยวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอันดับ 7 ของโลกโดยวัดจากภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ อินโดนีเซียยังถือเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[27] และเป็นประเทศอำนาจปานกลางของโลก และยังเป็นสมาชิกขององค์กรพหุภาคีหลายแห่ง รวมถึงองค์การสหประชาชาติ, องค์การการค้าโลก, กลุ่ม 20, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด, สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และองค์การความร่วมมืออิสลาม

นิรุกติศาสตร์

ชื่อประเทศ Indonesia มีที่มาจากภาษากรีกยุคโบราณคำว่า อินดอส (Ἰνδός) และเนซอส (νῆσος) ซึ่งหมายถึง "หมู่เกาะอินเดีย"[28] ซึ่งชื่อ Indonesia เริ่มมีการใช้ในกลุ่มชาติตะวันตกตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนการก่อตั้งรัฐอินโดนีเซีย และใน ค.ศ. 1850 จอร์จ วินด์เซอร์ เอิร์ล นักชาติพันธุ์วิทยาชาวอังกฤษ ได้บัญญัติคำศัพท์ใหม่ Indunesians หมายถึง "หมู่เกาะอินเดียหรือหมู่เกาะมลายู"[29]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1900 ชื่อ Indonesia เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยมีการใช้ทั้งในแวดวงวิชาการและสื่อมวลชน โดย อาด็อล์ฟ บาสเตียน นักมานุษยวิทยาชาวเยอรมันถือเป็นผู้เผยแพร่ชื่อ Indonesia ให้เป็นที่รู้จักผ่านหนังสือ Indonesien oder die Inseln des Malayischen Archipels

ประวัติ

เปอลิงกีฮ์เมรูของปูราตามันอายุน จังหวัดบาหลี เดิมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรบาดุง

อินโดนีเซียประกอบด้วยหมู่เกาะที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน แต่ต่อมาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์อยู่ประมาณ 301 ปี ในเดือนมกราคม 1942 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิ​ญี่ปุ่นบุกอินโดนีเซีย และทำการขับไล่เนเธอร์แลนด์เจ้าอาณานิคมของอินโดนีเซียออกไปได้สำเร็จ จึงทำให้ผู้นำอินโดนีเซียคนสำคัญในสมัยนั้นให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นแต่ไม่ได้ให้ความไว้วางใจกับญี่ปุ่นมากนัก เพราะมีเหตุเคลือบแคลงคือ เมื่อผู้รักชาติอินโดนีเซียจัดตั้งขบวนการต่าง ๆ ขึ้นมา ญี่ปุ่นจะขอเข้าร่วมควบคุมและดำเนินงานด้วย

เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายพันธมิตร อินโดนีเซียได้ถือโอกาสประกาศเอกราชในปี 1945 แต่เนเธอร์แลนด์เจ้าของอาณานิคมเดิมไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย จึงยกกองทัพเข้าปราบปราม ผลจากการสู้รบปรากฏว่าเนเธอร์แลนด์ไม่สามารถปราบปรามกองทัพอินโดนีเซียได้ ระหว่างการเรียกร้องเอกราชทำให้เกิดผู้นำในการเรียกร้องหลายท่านที่ควรค่าแก่การยกย่องดังที่พบในรายนามวีรบุรุษแห่งชาติ (อินโดนีเซีย) เช่น กี ฮาจาร์ เดเวนตารา (Ki Hajar Dewantara) จากนั้นอังกฤษซึ่งเป็นพันธมิตรกับเนเธอร์แลนด์จึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้ยุติความขัดแย้งกัน โดยให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลงลิงกาจาตี (Linggadjati Agreement) เมื่อปี 1946 โดยเนเธอร์แลนด์ยอมรับอำนาจรัฐของรัฐบาลอินโดนีเซียในเกาะชวาและสุมาตรา ต่อมาภายหลังเนเธอร์แลนด์ได้ละเมิดข้อตกลงโดยได้นำทหารเข้าโจมตีอินโดนีเซียทำให้ประเทศอื่น ๆ เช่น ออสเตรเลีย อินเดีย ได้ยื่นเรื่องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้าจัดการ สหประชาชาติได้เข้าระงับข้อพิพาทโดยตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยออสเตรเลีย เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมและได้เรียกร้องให้หยุดยิง แต่เนเธอร์แลนด์ได้เข้าจับกุมผู้นำคนสำคัญของอินโดนีเซีย คือ ซูการ์โนและฮัตตาไปกักขัง ต่อมาทหารอินโดนีเซียสามารถช่วยเหลือนำตัวผู้นำทั้งสองออกมาได้ ในระยะนี้ทุกประเทศทั่วโลกต่างตำหนิการกระทำของเนเธอร์แลนด์อย่างยิ่งและคณะมนตรีความมั่นคงได้กดดันให้เนเธอร์แลนด์มอบเอกราชแก่อินโดนีเซีย

ในวันที่ 27 ธันวาคม 1949 อินโดนีเซียได้รับเอกราชแต่ความยุ่งยากยังคงมีอยู่เนื่องจากเนเธอร์แลนด์ไม่ยินยอมให้รวมดินแดนอีรียันตะวันตกเข้ากับอินโดนีเซีย ทั้งสองฝ่ายจึงต่างเตรียมการจะสู้รบกันอีก ผลที่สุดเนเธอร์แลนด์ก็ยอมโอนอำนาจให้สหประชาชาติควบคุมดูแลอีรียันตะวันตกและให้ชาวอีรียันตะวันตกแสดงประชามติว่าจะรวมกับอินโดนีเซียหรือไม่ ผลการออกเสียงประชามติปรากฏว่าชาวอีรียันตะวันตกส่วนใหญ่ต้องการรวมกับอินโดนีเซีย สหประชาชาติจึงโอนอีรียันตะวันตกให้อยู่ในความปกครองของอินโดนีเซียเมื่อเดือนพฤษภาคม 1963

ภูมิศาสตร์

อินโดนีเซียเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 1,826,440 ตารางกิโลเมตร มีประมาณ 17,000 เกาะ พื้นที่กว่า 70% ไม่มีผู้คนอาศัย มีภูเขาสูงตามเทือกเขาที่มีความสูงมากอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ตามบริเวณเขามักมีภูเขาไฟและมีที่ราบรอบเทือกเขา ชายเกาะมีความสูงใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล ทำให้มีที่ราบบางแห่งเต็มไปด้วยหนองบึงใช้ประโยชน์ไม่ได้

ประเทศอินโดนีเซียมีเกาะหลัก 5 เกาะคือ นิวกินี, ชวา, กาลีมันตัน, ซูลาเวซี และสุมาตรา เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะสุมาตรา ส่วนเกาะชวาเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลักทั้ง 5 เกาะ แต่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่บนเกาะนี้และเป็นที่ตั้งกรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นเมืองหลวง หมู่เกาะเหล่านี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก ชายฝั่งของประเทศอินโดนีเซียยาวประมาณ 2,600 กิโลเมตร และมีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซีย ปาปัวนิวกีนี และติมอร์-เลสเต

ภูมิอากาศ

ลักษณะอากาศแบบศูนย์สูตร ประกอบด้วย 2 ฤดู คือ ฤดูแล้ง (พฤษภาคม - ตุลาคม) และฤดูฝน (พฤศจิกายน - เมษายน) อินโดนีเซียมีฝนตกชุกตลอดปี แต่อุณหภูมิไม่สูงมากนัก เพราะพื้นที่เป็นเกาะจึงได้รับอิทธิพลจากทะเลอย่างเต็มที่

บางภูมิภาค เช่น บอร์เนียวและสุมาตรา พบความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิระหว่างฤดูกาล ในขณะที่ภูมิภาคอื่น ๆ เช่น นูซาเต็งการา พบความแตกต่างที่เด่นชัดกว่ามากระหว่างความแห้งแล้งในฤดูแล้งและน้ำในฤดูฝน ปริมาณน้ำฝนแตกต่างกันไปตามภูมิภาค โดยส่วนใหญ่อยู่ในสุมาตราตะวันตก ชวา และภายในของภาคกาลิมันตันและปาปัว และน้อยกว่าในพื้นที่ใกล้ออสเตรเลีย เช่น เกาะนูซาเต็งการา ซึ่งมีแนวโน้มจะแห้งแล้งกว่า ความชื้นของเกาะโดยรอบค่อนข้างสูงโดยอยู่ระหว่าง 70 ถึง 90% มีลมกำลังปานกลางและคาดการณ์ได้โดยทั่วไป โดยมรสุมมักจะพัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันออกในเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม และจากตะวันตกเฉียงเหนือในเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม พายุไต้ฝุ่นและพายุขนาดใหญ่ก่อให้เกิดอันตรายเพียงเล็กน้อยต่อนักเรือ ในขณะที่อันตรายที่สำคัญมาจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก เช่น ช่องแคบลอมบอกและช่องแคบซาเป[30]

ปัญหาในปัจจุบัน

งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า สภาพที่ตั้งของเกาะทั้งหมดในประเทศก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน[31] และในปัจจุบันการปล่อยมลพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในประเทศทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1 °C (2 °F) ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา[32][33] ก่อให้เกิดภาวะแล้ง การขาดอาหาร ปัญหาต่อภาคการเกษตร และไฟป่าในหลายภูมิภาค นอกจากนี้จากการที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นทุกปีซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่ง[34] และประชาชนที่อาศัยในภูมิภาคที่ยากจนและห่างไกลตัวเมืองมีโอกาสจะประสบปัญหาต่าง ๆ ข้างต้นมากที่สุด[35]

การเมืองการปกครอง

โจโก วีโดโด ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

ประเทศอินโดนีเซียมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและทำหน้าที่ปกครองประเทศ ภายหลังการหมดอำนาจของประธานาธิบดี ซูฮาร์โต ในปี 1998 โครงสร้างทางการเมืองและการปกครองได้รับการปฏิรูปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่ปรับปรุงอำนาจของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ โดยมีการกระจายอำนาจให้กับหน่วยงานระดับภูมิภาคต่าง ๆ ในขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นรัฐรวม[36] ประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาลในเวลาเดียวกัน[37] และมีอำนาจสั่งการผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังติดอาวุธแห่งชาติอินโดนีเซีย (Tentara Nasional Indonesia, TNI) และผู้อำนวยการฝ่ายธรรมาภิบาลภายในประเทศ รวมทั้งการกำหนดนโยบาย และบริหารด้านการต่างประเทศ ประธานาธิบดีอาจดำรงตำแหน่งสูงสุดสองวาระ ไม่เกิน 5 ปีติดต่อกัน[38]

ผู้แทนสูงสุดในระดับชาติคือสภาที่ปรึกษาประชาชน (Majelis Permusyawaratan Rakyat, MPR) หน้าที่หลักของคือการสนับสนุนและแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกำหนดโครงร่างของนโยบายของรัฐ MPR สภาผู้แทนราษฎรของประเทศ (Dewan Perwakilan Rakyat, DPR) ประกอบด้วยสมาชิก 575 คน และสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (Dewan Perwakilan Daerah, DPD) มีจำนวน 136 คน[39]

การเลือกตั้งและพรรคการเมือง

ตั้งแต่ปี 1999 อินโดนีเซียมีพรรคการเมืองหลายพรรคในการลงรับสมัครเลือกตั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีพรรคการเมืองใดที่สามารถชนะที่นั่งเสียงข้างมากในสภาแต่เพียงผู้เดียวได้ พรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย-การต่อสู้ (PDI-P) ซึ่งได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งปี 2019 เป็นพรรคของ โจโก วีโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน[40] พรรคที่โดดเด่นอื่น ๆ ได้แก่ กลการ์ หรือ พรรคกลุ่มการทำงาน (Golkar), พรรคขบวนการอินโดนีเซียยิ่งใหญ่ (Gerindra), พรรคประชาธิปไตย และพรรคยุติธรรมรุ่งเรือง (PKS)

การแบ่งเขตการปกครอง

ปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 38 จังหวัด (provinsi) โดยมีเมืองหลวงหรือเมืองหลักของแต่ละจังหวัด ได้แก่

นโยบายต่างประเทศ

อินโดนีเซียมีคณะทูตใน 132 ประเทศ และสถานทูตกว่า 95 แห่งทั่วโลก[41] ประเทศยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่ "เสรีอย่างแข็งขัน" โดยแสวงหาบทบาทในระดับภูมิภาคและเวทีโลกตามสมควร แต่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศ อินโดนีเซียเป็นสมรภูมิสำคัญในช่วงสงครามเย็น ปัจจุบันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก เช่นเดียวกับโลกมุสลิมส่วนใหญ่ อินโดนีเซียไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลและสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางส่วนได้ชี้ให้เห็นว่าอินโดนีเซียมีความผูกพันกับอิสราเอลแม้จะไม่แสดงออกชัดเจน[42][43] โดยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจร่วมกันหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าอาวุธปืนที่ผลิตจากอิสราเอล[44]

อินโดนีเซียเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 1950 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) และองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) อินโดนีเซียเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน กลุ่มแคนส์ องค์การการค้าโลก (WTO) และเป็นสมาชิกโอเปกเป็นครั้งคราว สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการทหารระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย ส่งผลให้อินโดนีเซียถอนตัวจากสหประชาชาติหลังการเลือกตั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก่อนจะกลับมาเข้าร่วมอีกครั้งใน 18 เดือนต่อมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติที่ประเทศสมาชิกมีการถอนตัว อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศผู้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1966[45][46][47] อินโดนีเซียได้จัดตั้งโครงการความช่วยเหลือในต่างประเทศเป็นครั้งแรกในปลายปี 2019[48]

กองทัพ

ทหารกองทัพบกของอินโดนีเซีย

กองทัพอินโดนีเซีย (TNI) รวมถึงกองทัพบก (TNI–AD) กองทัพเรือ (TNI–AL ซึ่งรวมถึงนาวิกโยธิน) และกองทัพอากาศ (TNI–AU) กองทัพมีบุคลากรประจำการอยู่ประมาณ 400,000 นาย การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในงบประมาณของประเทศอยู่ที่ 0.7% ของ GDP ในปี 2018 กองทัพของประเทศก่อตั้งขึ้นในช่วงการปฏิวัติแห่งชาติของชาวอินโดนีเซียเมื่อทำสงครามกองโจรพร้อมกับกองทหารอาสาสมัครที่ไม่เป็นทางการตั้งแต่นั้นมา โดยมุ่งเป้าไปที่การรักษาเสถียรภาพภายในประเทศและขัดขวางการคุกคามจากต่างประเทศ กองทัพมีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ การปฏิรูปการเมืองในปี 1998 ได้ลดบทบาทของ TNI ลง อย่างไรก็ตาม พวกเขายังมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่

นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ประเทศได้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อต่อต้านการก่อความไม่สงบในท้องถิ่นและขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาเจะห์และปาปัว ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางอาวุธและการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการรายงานระดับความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ลดลงตั้งแต่ปี 2004[49]

เศรษฐกิจ

โครงสร้าง

จาการ์ตาใน พ.ศ. 2551 ในภาพเห็นอาคารวิซมา 46 ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศ ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจของเมือง

เศรษฐกิจของอินโดนีเซียเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมน้ำมันเป็นแหล่งสำคัญที่สุดในการทำรายได้ให้อินโดนีเซีย นับแต่ยุคหลังได้รับเอกราชตลอดมา ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียได้นำรายได้มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการขนส่งและการคมนาคมสร้างฐานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง มุ่งหวังสร้างความแข็งแกร่งให้กับการอุตสาหกรรมของประเทศ ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันในตลาดโลกในช่วงระหว่างปี 1980–84 ซึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของอินโดนีเซีย รัฐบาลจึงหันมาส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตเพื่อลดการพึ่งพา รายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ แร่โลหะที่มีค่า สินค้าอุตสาหกรรม ต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนาภาคเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต ทำให้อินโดนีเซียมีข้าวเพียงพอสำหรับเลี้ยงตนเองได้โดยไม่ต้องนำเข้าอีกต่อไป ยกเว้นบางปีที่ผลผลิตข้าวไม่ดี ขณะเดียวกันรายได้จากการ ส่งออกสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสินค้า อุตสาหกรรมได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญในปัจจุบัน โดยคิดเป็นร้อยละ 75 ของสินค้าออก ทั้งหมด

ในด้านอุตสาหกรรม อินโดนีเซียได้พัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ อาทิ อุตสาหกรรมต่อเรือที่จาการ์ตา สุราบายา เซอมารัง และอัมบอยนา อุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ชนิดต่าง ๆ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมกระจก

เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลอินโดนีเซียได้พยายามปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบเรื่องเศรษฐกิจการค้า การเงิน การธนาคาร และการลงทุน เพื่อให้มีความเสรีและสะดวก ยิ่งขึ้น การผ่อนคลายรูปแบบของเศรษฐกิจที่มีรัฐควบคุมอยู่มาก เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนต่างชาติเข้ามาลงทุนในกิจการหลาย ๆ ภาคที่เคยจำกัดไว้ รวมทั้งด้านสาธารณูปโภค อาทิ การพัฒนาแหล่งพลังงานไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง โทรคมนาคม เป็นต้น

ดังนั้น เศรษฐกิจของอินโดนีเซียจึงมีการขยายตัวและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความมั่นคงทางการเมือง ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ และค่าจ้างแรงงานไม่สูงมาก ล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการลงทุนของต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การประกอบการที่ดำเนินแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ การกู้ยืมเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากภายนอกเพื่อลงทุนในกิจการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ การผลิตและประกอบการที่ไม่มีการแข่งขันเนื่องจากได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตประเทศอื่นได้

การไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการโยกย้ายเงินทุน การโจมตีค่าเงินในภูมิภาค หนี้สินต่างประเทศ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้งในอินโดนีเซียในช่วงปี 1997–98 ก่อให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งอินโดนีเซียต้องพึ่งพากู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก

สินค้าออกที่สำคัญของอินโดนีเซีย นอกจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว[50] ได้แก่ ไม้อัดพลายวูด เสื้อผ้า ผ้าผืน ยางแปรรูป รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ[51] สินแร่โลหะและผลิตผลทางการเกษตร[52] ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่[53] ญี่ปุ่น สหรัฐ สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ส่วน สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ รถยนต์ แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และเกาหลีใต้

การคมนาคม

รถโดยสารสาธารณะทรานส์จาการ์ตา เข้าเทียบท่าที่ป้ายรถประจำทางบนช่องทางเดินรถพิเศษ

การคมนาคมในอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลจากทรัพยากรและประชากรของชาติหมู่เกาะนี้ โดยเฉพาะการขนส่งประชากรกว่า 250 ล้านคน แค่เฉพาะบนเกาะชวาอย่างเดียว[54] การขนส่งในประเทศมีแนวโน้มจะเป็นแบบเกื้อกูลช่วยเหลือกันมากกว่าเป็นการแข่งขันในเชิงเศรษฐกิจ ในปี 2016 เม็ดเงินจากการคมนาคมขนส่งอย่างเดียวคิดเป็น 5.2% ของจีดีพี[55]

ระบบถนนทั้งประเทศมีความยาวรวม 537,838 กิโลเมตร (334,197 ไมล์) (2016)[56] โดยจาการ์ตามีระบบรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษที่ขึ้นชื่อว่ามีเส้นทางเดินรถยาวที่สุดในโลก "ทรานส์จาการ์ตา" (TransJakarta)ด้วยระยะทาง 230.9 กิโลเมตร (143.5 ไมล์) ใน 13 สายที่วิ่งจนถึงชานเมืองจาการ์ตา[57] รถสามล้อ เช่น bajaj, becak และแท็กซี่แบบแบ่งกัน (share taxi) เช่น Angkot และ Metromini เป็นรูปแบบการขนส่งท้องถิ่นที่พบได้ทั่วไปในประเทศ ระบบการขนส่งทางรางส่วนมากกระจุกตัวอยู่ในชวา ทั้งขนส่งผู้โดยสารและสินค้า สำหรับรถไฟฟ้าและโมโนเรลกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในจาการ์ตาและปาเล็มบัง ภายใต้ชื่อ MRT และ LRT[58][59] นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงซึ่งประกาศในปี 2015 ถือเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ริเริ่มแนวคิดนี้[60]

เครื่องบินของการูดาอินโดนีเซียที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา

ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียคือ ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ซึ่งเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารผ่านเข้าออกมากที่สุดในซีกโลกใต้ ราว 63 ล้านคน ในปี 2017[61] โดยมีท่าอากาศยานนานาชาติงูระฮ์ ไร และ ท่าอากาศยานนานาชาติจ็วนดา มีผู้โดยสารเข้าออกมากที่สุดรองลงมาตามลำดับ สายการบินประจำชาติ "การูดาอินโดนีเซีย" เปิดตัวในปี 1949 ในปัจจุบันสายการบินชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสมาชิกของสกายทีม ส่วนการคมนาคมทางน้ำมีท่าเรือตันจัง ปริอ็อก เป็นท่าสำคัญที่มีการใช้งานเยอะที่สุดและขึ้นชื่อว่าทันสมัยที่สุดในประเทศ[62] รองรับการขนส่งสินค้ามากกว่า 50% ของการขนส่งทางเรือทั้งหมดของประเทศ

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ดวงตราไปรษณียากรที่ระลึกการปล่อยดาวเทียมปาลาปา

งบประมาณแผ่นดินที่ใช้ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติถือว่าต่ำ น้อยกว่า 0.1% ของจีดีพีในปี 2017[63] อินโดนีเซียจึงถือว่าไม่ใช่ประเทศที่เป็นผู้นำด้านนี้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามอินโดนีเซียมีภูมิปัญญาพื้นบ้านอันช่วยให้การดำรงชีวิตของชาวพื้นเมืองสะดวกสบายขึ้นและเป็นที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะภูมิปัญญาพื้นบ้านในการสร้างนาขั้นบันไดที่เรียกว่า เตอราเซอร์ และเรือไม้ของชาวบูกิสและชาวมากัสซาร์ ที่เรียกว่าเรือ "ปีนีซี"[64]

อินโดนีเซียเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีการพัฒนาและคิดค้นอากาศยานในการทหารเป็นของตนเองมาเป็นเวลานาน ในปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียยังเป็นผู้นำในการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ส่งออกให้กับโบอิ้ง และ แอร์บัส[65][66] อินโดนีเซียยังเคยเข้าร่วมโครงการของเกาหลีใต้ในการคิดค้นและสร้างเครื่องบินเจ็ตไล่ล่า รุ่นที่ 5 KAI KF-X.[67]

อินโดนีเซียยังมีโครงการและหน่วยงานด้านอวกาศของตนเอง สถาบันด้านการบินและอวกาศแห่งชาติ (Lembaga Penerbangan dan Antariksa Nasional, LAPAN) ซึ่งในราวทศวรรศปี 1970 อินโดนีเซียเป็นชาติกำลังพัฒนาชาติแรกที่ได้ส่งระบบดาวเทียมขึ้นไปโคจร ชื่อว่าปาลาปา[68] อันเป็นกลุ่มดาวเทียมสื่อสารที่อินโดแซต อูเรอดู เป็นเจ้าของ ดาวเทียมดวงแรกของโครงการ ปาลาปา เอ 1 ได้ถูกส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1976 จากศูนย์อวกาศเคนเนดีในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา[69] จนถึงปัจจุบันมีดาวเทียมกลุ่มปาลาปา รวม 16 ดวงที่ถูกส่งไปโคจร[70] และ LAPAN ยังยืนยันไม่หยุดพัฒนาเท่านี้ และแสดงเจตจำนงที่จะส่งดาวเทียมจากฐานในประเทศภายในปี 2040[71]

พลังงาน

เขื่อน Jatiluhur ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนด้านพลังงานให้แก่ประชากรทั้งประเทศ

ในปี 2017 อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่อันดับที่ 9 ของโลกด้วยปริมาณ 4,200 เทราวัตต์-ชั่วโมง (14.2 พันล้านหน่วยความร้อนของอังกฤษ) และผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 15 ด้วยจำนวน 2,100 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง (7.1 พันล้านหน่วยความร้อนของอังกฤษ)[72] ประเทศมีแหล่งพลังงานมากมาย รวมถึงน้ำมันสำรองทั่วไปและก๊าซธรรมชาติ 22 พันล้านบาร์เรล (3.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร) (ซึ่งสามารถกู้คืนได้ประมาณ 4 พันล้านบาร์เรล) 8 พันล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันจากแก๊สมีเทนจากถ่านหิน (CBM) และถ่านหินที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ 28 พันล้านตัน ในขณะที่การพึ่งพาถ่านหินในประเทศและน้ำมันนำเข้าเพิ่มขึ้น[73]

รัฐบาลอินโดนีเซียเล็งเห็นถึงประโยชน์ในด้านพลังงานทดแทน[74] โดยที่กระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำเป็นแหล่งพลังงานที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด[75] นอกจากนี้ ประเทศยังมีศักยภาพในการผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล และการจัดการน้ำในมหาสมุทรอีกด้วย อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะใช้พลังงานทดแทนให้ได้ 23% ภายในปี 2025 และ 31% ภายในปี 2050 ณ ปี 2015 กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ติดตั้งในประเทศทั้งหมดของอินโดนีเซียอยู่ที่ 55,528.51 เมกะวัตต์

เขื่อนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศได้แก่ Jatiluhur มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนด้านพลังงานในประเทศ[76] รวมถึงการจัดหาไฟฟ้าพลังน้ำ การจัดหาน้ำ การควบคุมน้ำท่วม การชลประทาน และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เขื่อนถมดินสูง 105 ม. (344 ฟุต) และรองรับอ่างเก็บน้ำ 3.0 พันล้านลูกบาศก์เมตร (2.4 ล้านเอเคอร์) ช่วยในการส่งน้ำไปยังกรุงจาการ์ตา และมีกำลังการผลิตติดตั้ง 186.5 เมกะวัตต์

การท่องเที่ยว

บุโรพุทโธ แหล่งมรดกโลกและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในยกยาการ์ตา

รายได้จากภาคการท่องเที่ยวคิดเป็น 28.2 พันล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ[77] ในปี 2017 อินโดนีเซียมีนักท่องเที่ยวจำนวน 14.04 ล้านคน เพิมขึ้นราว 21.8% จากปี 2016[78] โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินราว 2,009 ดอลล่าร์สหรัฐต่อคน นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักได้แก่ชาวจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2011 กระทรวงการท่องเที่ยว (อินโดนีเซีย) ได้ประกาศสโลแกนการท่องเที่ยวคือ อินโดนีเซียมหัศจรรย์ (Wonderful Indonesia) ซึ่งยังคงใช้มาจนปัจจุบัน[79] สถานที่ท่องเที่ยวในอินโดนีเซียมีทั้งเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น ชายหาดและทะเลที่ขึ้นชื่อและป่าดงดิบจำนวนมากทั่วประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่นแหล่งมรดกโลกสำคัญ อย่าง บุโรพุทโธ และ ปรัมบานัน

แหล่งธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอินโดนีเซีย หมู่เกาะทั้งหมดมีการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิอากาศเขตร้อน หมู่เกาะที่กว้างใหญ่ และชายหาดที่ทอดยาว และมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของอินโดนีเซีล้วยดึงดูดนักท่องเที่ยวปริมาณมาก อินโดนีเซียยังมีระบบนิเวศทางธรรมชาติที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี โดยมีป่าฝนซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 57% ของพื้นที่อินโดนีเซีย (225 ล้านเอเคอร์) ป่าไม้บนเกาะสุมาตราและกาลิมันตันเป็นตัวอย่างของจุดหมายปลายทางยอดนิยม เช่น เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอุรังอุตัง นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังมีแนวชายฝั่งที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีความยาวกว่า 54,716 กิโลเมตร (33,999 ไมล์)

อินโดนีเซียมีแหล่งมรดกโลกรับรองโดยองค์การยูเนสโก 9 แห่ง[80][81] รวมทั้งอุทยานแห่งชาติโกโมโดและเหมืองถ่านหินซาวาลุนโต และอีก 19 รายการในรายชื่อที่รอการขึ้นทะเบียนในอนาคต[82] ซึ่งรวมถึงอุทยานแห่งชาติบูนาเกนและหมู่เกาะราชาอัมปัต สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ มรดกอาณานิคมของ หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ในเมืองเก่าของจาการ์ตาและเซอมารัง และพระราชวังของ Pagaruyung และยกยาการ์ตา

ความหลากหลายทางชีวภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม

สิ่งมีชีวิตหายากในหมู่เกาะอินโดนีเซีย, เรียงตามเข็มนาฬิกา: กาฝากยักษ์ (Giant padma), อุรังอุตัง, นกปักษาสวรรค์ใหญ่, และ มังกรโคโมโด

ด้วยขนาด ภูมิอากาศ และสภาพทางภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะของอินโดนีเซียส่งผลให้เป็นหนึ่งในดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากสุดองโลก[83] และเป็นหนึ่งใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายขนาดใหญ่ที่ระบุโดย Conservation International พืชและสัตว์คือส่วนผสมของสายพันธุ์เอเชียและออสตราเลเซียน[84] หมู่เกาะซุนดาเชลฟ์ (สุมาตรา ชวา บอร์เนียว และบาหลี) ครั้งหนึ่งเคยเชื่อมโยงกับเอเชียแผ่นดินใหญ่และมีสัตว์เอเชียมากมาย สปีชีส์ขนาดใหญ่ เช่น เสือโคร่งสุมาตรา, แรด, อุรังอุตัง, ช้างเอเชีย และเสือดาว ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่มากมายทางตะวันออกของเกาะบาหลี แต่ได้ลดลงอย่างมากด้วยฝีมือมนุษย์ และบางชนิดได้สูญพันธุ์แล้ว เช่น เสือโคร่งบาหลี หลังจากการแยกตัวจากผืนแผ่นดินทวีปมาเป็นเวลานานบริเวณ สุลาเวสี นูซาเต็งการา และมาลูกูได้พัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ ปาปัวเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินของออสเตรเลียและเป็นที่อยู่ของสัตว์และพืชพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งนกกว่า 600 สายพันธุ์

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่สองรองจากออสเตรเลียในแง่ของจำนวนสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น โดย 36% ของนก 1,531 สายพันธุ์ และ 39% ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 515 สายพันธุ์ถือเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น อินโดนีเซียทะเลเขตร้อนล้อมรอบชายฝั่งทะเล 80,000 กิโลเมตร (50,000 ไมล์) และมีระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่หลากหลาย รวมทั้งชายหาด เนินทราย ปากน้ำ ป่าชายเลน แนวปะการัง หญ้าทะเล โคลนชายฝั่ง ที่ราบน้ำขึ้นน้ำลง สาหร่าย และระบบนิเวศของเกาะเล็ก ๆ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายของปะการัง โดยกว่า 1,650 สายพันธุ์สามารถพบได้ในภาคตะวันออกของอินโดนีเซียเท่านั้น[85][86]

นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ บรรยายถึงเส้นแบ่ง (เส้นวอลเลซ) ระหว่างการกระจายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เอเชียและออสตราเลเซียนของอินโดนีเซีย ตามแนวขอบของ Sunda Shelf ระหว่างกาลิมันตันและสุลาเวสี และตามช่องแคบลอมบอกที่ลึกระหว่างลอมบอกและบาหลี พืชและสัตว์ต่าง ๆ ทางตะวันตกของแนวเส้นนี้มักเป็นสายพันธุ์เอเชีย ขณะที่ทางตะวันออกจากลอมบอก มีความเป็นออสเตรเลียมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดแนวเวเบอร์ ในหนังสือของเขาในปี 1869 วอลเลซได้บรรยายถึงสายพันธุ์ต่าง ๆ มากมายที่มีลักษณะเฉพาะในพื้นที่นี้ บริเวณหมู่เกาะระหว่างแนวของเทือกเขากับนิวกินีปัจจุบันเรียกว่าวอลเลเซีย

ปัญหาฝุ่นละอองบดบังทัศนวิสัยในบูกิตติงกิ ทางตะวันตกของสุมาตรา เกิดจากการทำลายป่าไม้

ด้วยขนาดประชากรที่เพิ่มสูง และการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรง ปัญหาเกิดจากการบริหารที่อ่อนแอและการมีทรัพยากรไม่เพียงพอ ปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ การทำลายพื้นที่พรุ การตัดไม้ทำลายป่า (ทำให้เกิดหมอกควันปกคลุมทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) การใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลมากเกินไป มลพิษทางอากาศ การจัดการขยะและน้ำเสียที่ด้อยคุณภาพ มีส่วนทำให้อินโดนีเซียอยู่ในอันดับต่ำ (อันดับที่ 116 จาก 180 ประเทศ) ในดัชนีผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมปี 2020 ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก[87]

ในปี 2018 ป่าไม้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 49.7% ของพื้นที่ประเทศ ลดลงจาก 87% ในปี 1950 เริ่มต้นในปี 1970 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การผลิตไม้ซุง พื้นที่เพาะปลูกและเกษตรกรรมต่าง ๆ มีผลต่อการตัดไม้ทำลายป่าส่วนใหญ่ในอินโดนีเซีย ทำให้อินโดนีเซียเป็นแหล่งปล่อยแก๊สเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังคุกคามการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 140 สายพันธุ์ถูกคุกคาม และอีก 15 สายพันธุ์กำลังเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ รวมถึงนกบาหลี อุรังอุตังสุมาตรา และแรดชวา

ประชากรศาสตร์

การสำรวจสำมะโนประชากรปี 2020 บันทึกประชากรของอินโดนีเซียไว้ที่ 270.2 ล้านคน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก โดยมีอัตราการเติบโตของประชากรระดับปานกลางที่ 1.3%[88] ชวาเป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดในโลก[89] และกว่า 56% ของประชากรในประเทศอาศัยอยู่ในเกาะชวา ความหนาแน่นของประชากรคือ 141 คนต่อตารางกิโลเมตร (365 ต่อตารางไมล์) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 88 ของโลก รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าจำนวนประชากรจะเติบโตเป็น 295 ล้านคนภายในปี 2573 และ 321 ล้านคนภายในปี 2593[90]

ประชากรประมาณ 54.7% อาศัยอยู่ในเขตเมือง[91] จาการ์ตาเป็นเมืองหลวงของประเทศและเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 34 ล้านคน ชาวอินโดนีเซียประมาณ 8 ล้านคนอาศัยอยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในมาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย[92]

เชื้อชาติ

แผนภาพแสดงความหลากหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ในอินโดนีเซีย

ชาวอินโดนีเซียส่วนมากสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าที่พูดตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน ภาษาของกลุ่มชนดังกล่าวสามารถที่จะสืบค้นย้อนไปถึงภาษาออสโตรเนเชียนดั้งเดิม ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีต้นกำเนิดในไต้หวัน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชนเผ่าที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง คือ เผ่าเมลาเนเซียน ผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะปาปัว ภาคตะวันออก ของประเทศอินโดนีเซีย ชาวชวา คือ กลุ่มชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งมีอยู่ราว 42% ของจำนวนประชากร เป็นกลุ่มชนชั้นนำทางการเมือง และวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชนชาติหลัก ๆ ที่มีจำนวนพอ ๆ กับชาวชวา เช่น ชาวซุนดา ชาวมลายู และชาวมาดูรา จิตสำนึกของความเป็น ชาวอินโดนีเซีย จะขนานควบคู่ไปกับอัตลักษณ์ของท้องถิ่นตนเองอย่างเหนียวแน่น ความตึงเครียดทางสังคม ศาสนา และเชื้อชาติ เป็นสิ่งที่เคยกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง อันน่าสะพรึงกลัวมาแล้ว ชาวอินโดนิเซียเชื้อสายจีน เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ แต่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง มีจำนวนราว ๆ ร้อยละ 3-4 ของจำนวนประชากรอินโดนีเซีย

ศาสนา

ศาสนาในประเทศอินโดนีเซีย (2010)
ศาสนาร้อยละ
อิสลาม
  
87.2%
คริสต์
  
7.0%
คาทอลิก
  
2.9%
พุทธ
  
0.7%
ฮินดู
  
1.7%
ขงจื๊อและอื่น ๆ
  
0.2%
ปัทมาสน์ (อาสนะที่ว่างเปล่า) สัญลักษณ์ของเทพอจินไตย เทพเจ้าสูงสุดของศาสนาฮินดูแบบบาหลี ศาสนาฮินดูมีผู้นับถือเป็นหลักบนเกาะบาหลี

ในปี 2018[93] ประเทศอินโดนีเซียมีผู้นับถือศาสนา แบ่งได้ดังนี้ ศาสนาอิสลาม 87.2% ศาสนาคริสต์ 7% ศาสนาฮินดู 2.9% ศาสนาพุทธ 0.7% ลัทธิขงจื๊อและศาสนาอื่น ๆ 0.2%

โดยศาสนาฮินดูมีผู้นับถือเป็นหลักบนเกาะบาหลี คิดเป็นราว 84% ของประชากรทั้งหมด นับถือศาสนาฮินดูแบบบาหลี อันต่างจากศาสนาฮินดูในอนุทวีปอินเดียในบางส่วน เช่น มีศาสนสถานที่เรียกว่าปูรา นับถือเทพเจ้าสูงสุดคือ อจินไตย (เทพเจ้า) เป็นต้น

ชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะชาวอินโดนีเซียแต่เดิมมีความเชื่อเรื่องผี[94] ซึ่งเป็นความเชื่อที่พบได้ทั่วไปในชาวออสโตรนีเซียน พวกเขาบูชาและเคารพวิญญาณบรรพบุรุษและเชื่อว่าวิญญาณเหนือธรรมชาติ (ฮยัง) อาจอาศัยอยู่ในสถานที่บางแห่ง เช่น ต้นไม้ใหญ่ หิน ป่า ภูเขา หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างระบบความเชื่อของชาวอินโดนีเซีย ได้แก่ Sunda Wiwitan, Dayak's Kaharingan และ Javanese Kejawèn ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่ออื่น ๆซึ่งเห็นได้จากผู้คนจำนวนมาก เช่น ชาวอาบังกันชาวชวา, ชาวฮินดูในบาหลี และชาวดายัคที่นับถือศาสนาของพวกเขา

อิทธิพลของศาสนาฮินดูมาถึงหมู่เกาะตั้งแต่ศตวรรษที่ 1[95] ในขณะที่พุทธศาสนามาถึงราวศตวรรษที่ 6 และประวัติศาสตร์ในอินโดนีเซียมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับศาสนาฮินดู เนื่องจากบางอาณาจักรที่ยึดตามพุทธศาสนามีรากฐานมาจากช่วงเวลาเดียวกัน และแม้จะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมชาวอินโดนีเซีย[96][97]

ภาษา

ภาษาราชการของประเทศคือภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภาษามลายู และมีสถานะเป็นภาษากลางของหมู่เกาะมาหลายศตวรรษ ได้รับการส่งเสริมโดยกลุ่มชาตินิยมในปี 1920 และได้รับสถานะอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ บาฮาซาอินโดนีเซีย ในปี 1945[98] และจากการติดต่อกับชาติอื่น ๆ มานานหลายศตวรรษ ภาษาในประเทศอินโดนีเซียจึงได้รับอิทธิพลจากภาษาท้องถิ่นและภาษาต่างประเทศมากมาย เช่น ชวา ซุนดา มินังกาเบา มากัสซารีส ฮินดูสถาน สันสกฤต ทมิฬ จีน อาหรับ ดัตช์ โปรตุเกส และอังกฤษ[99][100]

ชาวอินโดนีเซียส่วนมากสามารถสื่อสารได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกเหนือจากบาฮาซา เนื่องจากความก้าวหน้าในด้านการศึกษา วิชาการ การสื่อสาร ธุรกิจ การเมือง และสื่อมวลชนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา และชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่พูดภาษาท้องถิ่นได้อย่างน้อยหนึ่งภาษาจากจำนวนกว่า 700 ภาษา ซึ่งมักเป็นภาษาแม่ของพวกเขามาแต่กำเนิด และส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ในขณะที่ภาษาท้อถิ่นของปาปัวกว่า 270 ภาษาเป็นภาษาพูดในอินโดนีเซียตะวันออก ในจำนวนนี้ ภาษาชวาเป็นภาษาที่พูดกันอย่างแพร่หลายที่สุด และมีสถานะร่วมอย่างเป็นทางการในภูมิภาคพิเศษของยกยาการ์ตา

ในปี 1930 ชาวดัตช์และชาวยุโรปอื่น ๆ และกลุ่มชาวอินโด (Indos) มีจำนวน 240,000 หรือ 0.4% ของประชากรทั้งหมด[101] และยังคงมีลูกหลานสืบเชื้อสายในประเทศอยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ภาษาดัตช์ไม่เคยได้รับการยอมรับในกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ รวมถึงไม่ได้รับสถานะทางการในบริบทต่าง ๆ แม้ว่าประเทศจะมีความสัมพันธ์กับเนเธอร์แลนด์เกือบ 350 ปี[102] แต่ชนกลุ่มน้อยตามเกาะต่าง ๆ สามารถใช้ภาษาดัตช์ได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งส่วนมากเป็นลูกหลานของอาณานิคมชาวดัตช์ที่กล่าวถึงข้างต้น

การศึกษา

สถาบันตามานซิสวา โรงเรียนแรกที่เปิดสอนแก่ชนพื้นเมืองในอินโดนีเซีย ซึ่งก่อตั้งโดยกี ฮาจาร์ เดเวนตารา

ระบบการศึกษาในโรงเรียนของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาชั้นมัธยมและการศึกษาระดับสูง และยังมีการศึกษาก่อนวัยเรียนเพื่อเตรียมควมพร้อมของเด็ก การศึกษาขั้นพื้นฐานของอินโดนีเซียกินเวลา 9 ปี ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นการสร้างเสริมทักษะพื้นฐานให้แก่ ผู้เรียนเตรียมความพร้อมในฐานะปัจเจกชน ประชาชน และมนุษยชาติ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานนี้จัดแบ่งโรงเรียนเป็น 2 ลักษณะ คือ โรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป (General primary school) และโรงเรียนประถมศึกษาพิเศษสำหรับเด็กพิการ (Special primary school for handicapped children)

ระบบการศึกษาของอินโดนีเซียตั้งวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาไว้ว่า

  1. พัฒนาความรู้ของนักเรียนสำหรับการศึกษาต่อเนื่องในระดับที่สูงขึ้นและเพื่อพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์แขนงต่าง ๆ
  2. พัฒนาความสามารถของนักเรียนในฐานะเป็นสมาชิกของสังคมให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ

โรงเรียนมัธยมศึกษาของอินโดนีเซีย แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 6 แบบ เพื่อผลิตนักเรียนตามความต้องการของผู้เรียนในอนาคต ดังนี้

  1. การศึกษาระดับมัธยมศึกษาทั่วไป เป็นการเตรียมความรู้ และพัฒนาทักษะสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่อไป
  2. การศึกษาระดับมัธยมศึกษาทางวิชาชีพ สามารถแยกการศึกษานี้ออกเป็น 6 กลุ่ม ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ได้แก่ เกษตรกรรมและการป่าไม้ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม ธุรกิจและการจัดการ ความเป็นอยู่ของชุมชน การท่องเที่ยว และศิลปะหัตถกรรม
  3. การศึกษาระดับมัธยมศึกษาด้านศาสนา
  4. การศึกษาระดับมัธยมศึกษาด้านการบริการ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมความรู้ความสามารถสำหรับผู้ที่จะเข้าเป็นพนักงานหรือข้าราชการ
  5. การศึกษาระดับมัธยมศึกษาพิเศษ เป็นการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่พิการทางร่างกายหรือจิตใจ
  6. การศึกษาระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรีใช้เวลา 3-4 ปี ปริญญาโท 2 ปี ปริญญาเอก 3 ปี สถาบันที่ให้การศึกษาระดับสูงนี้มีลักษณะเป็นสถาบันวิชาการ โพลีเทคนิค สถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่สะท้อนปัญหาความไม่สมดุลในการจัดการศึกษาของอินโดนีเซีย เนื่องจากอินโดนีเซียมีประชากรจำนวนมากที่สุดในอาเซียนคือ 243 ล้านคน แต่มีผู้เข้าสูงการศึกษาขั้นสูงหรือระดับปริญญาตรีขึ้นไปประมาณ 4.8 ล้านคนเท่านั้น ทั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็สนใจที่จะศึกษาต่อในต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสในการทำงาน เคยมีผลสำรวจระบุว่า นายจ้างในอินโดนีเซียยินดีรับผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศมากกว่าผู้ที่จบในประเทศค่านิยมแบบนี้จึงผลักดันให้เยาวชนอินโดนีเซียต้องออกไปศึกษาต่อขั้นสูงในต่างประเทศแทน

สุขภาพ

ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 3.3% ของ GDP ในปี 2016[103] รัฐบาลได้เปิดตัวการประกันสุขภาพแห่งชาติ (Jaminan Kesehatan Nasional, JKN) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2014 โดยครอบคลุมบริการต่าง ๆ จากภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ชาวอินโดนีเซียมีอายุขัยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (จาก 62.3 ปีในปี 1990 เป็น 71.7 ปีในปี 2019) และอัตราการเสียชีวิตของเด็กที่ลดลง (จาก 84 คนเสียชีวิตต่อการเกิด 1,000 คนในปี 1990 เป็น 25.4 คนในปี 2017)[104] ปัญหาสุขภาพในปัจจุบันรวมถึงสุขภาพของแม่และเด็ก โรคจากมลภาวะทางอากาศ ภาวะทุพโภชนาการ อัตราการสูบบุหรี่สูง และโรคติดเชื้อ

วัฒนธรรม

พระราชวังมีนังกาเบา ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมบ้านพื้นเมือง (รูมะฮ์อาดัต) แบบรูมะฮ์กาดัง

วัฒนธรรมดั้งเดิมของอินโดนีเซียนั้นมีมาราว 2 สหัสวรรษ โดยได้รับอิทธิพลจากอนุทวีปอินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ตะวันออกกลาง ยุโรป (ในช่วงล่าอาณานิคม)[105][106] และชาวเกาะพื้นเมืองออสโตรนีเซียน ล้วนส่งผลให้อินโดนีเซียในปัจจุบันมีวัฒนธรรมแบบพหุวัฒนธรรม พหุเชื้อชาติ และพหุภาษา[3][107] ซึ่งทำให้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากชนพื้นเมืองชาวเกาะดั้งเดิม มีความซับซ้อนในวัฒนธรรมสูง ในปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 9 รายการ เช่น มหรสพวายัง (คล้ายหนังตะลุงของไทย), ผ้าบาติก, การเต้นพื้นเมืองบาหลี เป็นต้น[108]

สถาปัตยกรรม

ซุ้มประตูจันดีเบินตาร์ ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมบาหลีและบันไดทางเข้าปูราเบอซากิฮ์บนเกาะบาหลี

สถาปัตยกรรมอินโดนีเซียนั้นได้รับอิทธิพลจากหลากหลายวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของอินเดียเป็นหลัก ผสมผสานกับอิทธิพลจีน อาหรับ มุสลิม และยุโรป บ้านแบบดั้งเดิมของอินโดนีเซียเรียกรวม ๆ ว่า รูมะฮ์อาดัต (rumah adat) ซึ่งรูมะฮ์อาดัตแต่ละแบบก็ใช้การก่อสร้างและวัสดุในท้องถิ่น ถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมืองแต่ละเผ่า[109] เช่น รูมะฮ์กาดังที่พบในซูลาเวซีใต้, ตงโกนันหรือบ้านหลังคาทรงเรือ, ศาลาแบบเป็นโดโป, หลังคาแบบจ็อกโล ของวัฒนธรรมชวา, บ้านยาว และ รูมะฮ์เมลายูหรือบ้านมลายู ของชาวดายัก, สถาปัตยกรรมบาหลีที่พบใน โบสถ์พราหมณ์แบบบาหลี (ปูรา) และ โรงนา (ลัมบัง)

วรรณกรรม

ในสมัยที่ศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาได้เข้าไปเผยแพร่ในอินโดนีเซีย วรรณกรรมของอินโดนีเซียจึงมีความเจริญอย่างรวดเร็ว หนังสือที่มีชื่อเสียงในระยะนั้นได้แก่เรื่องเนการาเกอร์ตากามา ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ และอำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต นอกจากนี้ยังมีหนังสือที่ได้รับความนิยมกันมากอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องปาราราตัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกษัตริย์อินโดนีเซียในสมัยนั้น เขียนเป็นภาษาชวาโบราณต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้แพร่เข้าไปในอินโดนีเซีย ก็ได้มีผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาอิสลาม และตำราหมอดูไว้หลายเล่ม โดยเขียนเป็นภาษาชวา

เครื่องแต่งกาย

ผ้าบาติก เอกลักษณ์พื้นเมืองของอินโดนีเซีย

อินโดนีเซียมีเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบอันเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมอันยาวนานและยาวนาน ชุดประจำชาติมีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมพื้นเมืองของประเทศและประเพณีสิ่งทอแบบดั้งเดิม ผ้าบาติกชวาและเกบายา เป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของอินโดนีเซีย[110] แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดจากซุนดาและบาหลีด้วยเช่นกัน แต่ละจังหวัดมีการแสดงเครื่องแต่งกายและการแต่งกายแบบดั้งเดิม เช่น Ulos of Batak จากสุมาตราเหนือ; Songket ของมลายูและ Minangkabau จากสุมาตรา; และอิกัตแห่งซาสักจากลอมบอก ผู้คนสวมชุดประจำชาติและระดับภูมิภาคในงานแต่งงานตามประเพณี พิธีการ การแสดงดนตรี การเข้าร่วมกิจกรรมของรัฐบาลและโอกาสทางการ และมีความแตกต่างกันไปตามเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมจนถึงสมัยใหม่

ดนตรี

การเต้นรำและการแสดงดนตรีพื้นเมืองของอินโดนีเซีย

มหรสพที่มีชื่อเสียงหนึ่งคือ ระบำบารง (Barong Dance) เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาะบาหลี อินโดนีเซีย บารองเป็นสัตว์ในตำนาน ซึ่งมีหลังอานยาวและหางงอนโง้ง และเป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณดีงาม ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย ระบำบารงเป็นนาฏกรรมศักดิ์สิทธิ์ การร่ายรำมีท่าทีอ่อนช้อยงดงาม เสียงเพลงไพเราะ[111]

การเต้นรำแบบอินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย โดยมีการเต้นรำดั้งเดิมมากกว่า 3,000 แบบ[112] นักวิชาการเชื่อว่าพวกเขามีจุดเริ่มต้นในพิธีกรรมและการบูชาทางศาสนา ตัวอย่าง ได้แก่ ระบำสงคราม การเต้นรำของหมอผี และการเต้นรำเรียกฝนหรือพิธีกรรมทางการเกษตร เช่น ฮูด็อก การเต้นรำของชาวอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลจากยุคก่อนประวัติศาสตร์และชนเผ่า ฮินดู-พุทธ และอิสลามของหมู่เกาะ เมื่อเร็ว ๆ นี้การเต้นรำสมัยใหม่และการเต้นของวัยรุ่นในเมืองได้รับความนิยมเนื่องจากอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกและของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นาฏศิลป์พื้นเมืองต่าง ๆ รวมทั้งของชวา บาหลี และดายัค ยังคงเป็นประเพณีที่มีอิทธิพลต่อสังคมถึงปัจจุบัน[113]

ศิลปะการแสดง และวงการบันเทิง

การแสดงวายัง

วายัง (แสดงโดยคน) และ การแสดงละครหุ่นกระบอกเงาของชาวชวา ซุนดา และบาหลี เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีมายาวนาน โดยมักแสดงเป็นเรื่องในตำนานหลายเรื่อง เช่น รามายณะและมหาภารตะ[114] ละครท้องถิ่นรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ ละครภาษาชวา Ludruk และ Ketoprak, เรื่องซันดิวาราซุนดา, เบตาวี เลนอง และละครนาฏศิลป์บาหลีหลายเรื่อง พวกเขารวมอารมณ์ขันและความตลกขบขันไว้ในการแสดง และมักให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการแสดง ประเพณีการแสดงละครบางเรื่องยังรวมถึงดนตรี การเต้นรำ และศิลปะการต่อสู้ เช่น รันไดจากชาวมินังกาเบาในสุมาตราตะวันตก มักใช้ประกอบพิธีและเทศกาลตามประเพณี และอิงตามตำนานกึ่งประวัติศาสตร์และเรื่องราวความรักของมินังกาเบา ศิลปะการแสดงสมัยใหม่ยังพัฒนาขึ้นในอินโดนีเซียด้วยรูปแบบการละครที่โดดเด่น คณะละคร นาฏศิลป์ และคณะละครที่มีชื่อเสียง เช่น Teater Koma มีชื่อเสียงเนื่องจากมักแสดงถึงการเสียดสีทางสังคมและการเมืองของสังคมชาวอินโดนีเซีย

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผลิตในหมู่เกาะคือ เลิ้ง กะสะเริง (Loetoeng Kasaroeng) เป็นภาพยนตร์เงียบโดยผู้กำกับ แอล ฮิวเวลดอร์ป ชาวดัตช์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ขยายตัวหลังจากได้รับเอกราช โดยมีภาพยนตร์ 6 เรื่องที่ผลิตในปี 1949 เพิ่มขึ้นเป็น 58 เรื่องในปี 1955 อุสมาร์ อิสมาอิล ผู้ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการบันเทิงในทศวรรษ 1950 และ 1960[115] โดยทั่วไปถือว่าเป็นผู้บุกเบิกภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซีย และภาพยนตร์ต่างประเทศก็ถูกห้ามฉายในเวลาต่อมา[116] การผลิตภาพยนตร์ได้รับความนิยมถึงจุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980[117] แม้ว่าจะลดลงอย่างมากในทศวรรษต่อมาด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ภาพยนตร์ที่โดดเด่นในช่วงเวลาหลายทศวรรษมานี้ ได้แก่ Pengabdi Setan (1980), Nagabonar (1987), Tjoet Nja' Dhien (1988), Catatan Si Boy (1989) และภาพยนตร์ตลกของ Warkop[118]

บริษัทสร้างภาพยนตร์อิสระเป็นจุดกำเนิดใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1998 โดยที่ภาพยนตร์เริ่มมีเนื้อหาที่ได้รับการห้ามฉายก่อนหน้านี้ เช่น ศาสนา เชื้อชาติ และความรัก ระหว่างปี 2000 ถึง 2005 จำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายในแต่ละปีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง[119] ในปี 2016 ภาพยนตร์เรื่อง DKI Reborn: Jangkrik Boss Part 1 ทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ กลายเป็นภาพยนตร์ชาวอินโดนีเซียที่มีผู้ชมมากที่สุดด้วยยอดขายบัตร 6.8 ล้านใบ[120] อินโดนีเซียได้จัดเทศกาลภาพยนตร์และรางวัลประจำปี ซึ่งรวมถึงเทศกาลภาพยนตร์อินโดนีเซีย (Festival Film Indonesia) ซึ่งจัดขึ้นเป็นระยะ ๆ นับตั้งแต่ปี 1955 โดยมอบรางวัล Citra Award ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1992 เทศกาลนี้จัดขึ้นทุกปีจนถึงปี 2004 และกำลังนำกลับมาจัดอีกครั้งในอนาคต

อาหาร

นาซีปาดัง, เร็นดัง, กูไล และผักนานาชนิด

อาหารอินโดนีเซียมีความหลากหลายสูงมาก[121][122] อาหารพื้นเมืองได้รับอิทธิพลจากจีน อาหรับ และยุโรป รวมทั้งเครื่องเทศทั้งที่พบในท้องถิ่นและนำเข้ามาปลูกจากอินเดีย[123] ข้าวเป็นอาหารหลักในอินโดนีเซีย ทานคู่กับอาหารคาว ส่วนมากปรุงรสด้วยเครื่องเทศ พริก กะทิ ปลา เนื้อไก่ เป็นวัตถุดิบหลัก[124]

อาหารขึ้นชื่อเช่น นาซีโกเร็ง, กาโด-กาโด, สะเต๊ะ, โซโต อย่างไรก็ตามกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งชาติได้เลือกให้ ตัมเป็ง เป็นอาหารประจำชาติในปี ค.ศ. 2014[122] นอกจากนี้ยังมีอาหารปาดัง เช่น เร็นดัง เด็นดัง กูไล ซึ่งเมื่อปี 2017 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ภาคการท่องเที่ยว ได้เลือกให้เร็นดัง เป็นอาหารที่อร่อยที่สุด "ในโลก"[125] อาหารหมักดองที่เป็นที่รู้จัก เช่น อนจม, เต็มเป ซึ่งนิยมมากในชวาตะวันตก

หนึ่งในอาหารที่คนไทยรู้จักกันดีคือ กาโด-กาโด เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของอินโดนีเซียคล้ายกับสลัดแขก ซึ่งจะประกอบด้วยถั่วเขียว มันฝรั่ง ถั่วงอก เต้าหู้ ไข่ต้มสุก กะหล่ำปลี ข้าวเกรียบกุ้ง รับประทานกับซอสถั่วที่มีลักษณะเหมือนซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส เช่น รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไป และยังเป็นเหมือนอาหารสำหรับคนรักสุขภาพได้อีกด้วย

กีฬา

กีฬาในประเทศมักมีผู้เล่นเป็นเพศชาย และมักเกี่ยวข้องกับการพนันที่ผิดกฎหมาย[126] แบดมินตันและฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยม อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในห้าประเทศเท่านั้นที่คว้าแชมป์ Thomas and Uber Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงแชมป์โลกประเภททีมแบดมินตันชายและหญิง ซึ่งนอกจากการยกน้ำหนักแล้ว แบดมินตันยังเป็นกีฬาที่มีส่วนเพิ่มเหรียญโอลิมปิกให้แก่อินโดนีเซียมากที่สุด

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ลีกาซาตู เป็นลีกสโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศ ในระดับภูมิภาค อินโดนีเซียได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1958 และอีก 2 เหรียญทองในซีเกมส์ 1987 และ 1991 และทีมชาติอินโดนีเซียร่วมแข่งชัน เอเชียนคัพ สมัยแรกในปี 1996 และร่วมแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มได้อีกสามครั้งถัดไป แม้ว่าจะยังไม่เคยผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์

อ้างอิง

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล

ทั่วไป

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง