ภาษาญี่ปุ่น

ภาษาหลักของประเทศญี่ปุ่น

ภาษาญี่ปุ่น (คันจิ: 日本語 ฮิรางานะ: にほんご/にっぽんご[1][2][3] โรมาจิ: Nihongo, Nippongo ทับศัพท์: นิฮงโงะ, นิปปงโงะ, [ɲihoŋŋo, ɲippoŋŋo[1][2]] ( ฟังเสียง)) เป็นภาษาราชการของประเทศญี่ปุ่นโดยพฤตินัย[4][หมายเหตุ 1] ปัจจุบันมีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ทั่วโลกประมาณ 125 ล้านคนโดยเป็นผู้อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นประมาณ 124 ล้านคน และมีผู้ใช้เป็นภาษาที่สองประมาณ 120,000 คน[5] นอกจากนี้ รัฐอาเงาร์ สาธารณรัฐปาเลา ยังได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในภาษาราชการร่วมกับภาษาปาเลาและภาษาอังกฤษ[6][หมายเหตุ 2]

ภาษาญี่ปุ่น
日本語
にほんご/にっぽんご
ニホンゴ/ニッポンゴ
nihongo/nippongo
Nihongo หรือ Nippongo ("ภาษาญี่ปุ่น") เขียนด้วยคันจิ
หนึ่งในอักขรวิธีของภาษาญี่ปุ่น
ออกเสียง/nihoNɡo/, /niQpoNgo/: [ɲihoŋŋo], [ɲippoŋŋo][1][2]
ประเทศที่มีการพูดญี่ปุ่น
ชาติพันธุ์ชาวญี่ปุ่น (ยามาโตะ)
จำนวนผู้พูดประมาณ 125 ล้านคน  (2022)
ตระกูลภาษา
ญี่ปุ่น
  • ภาษาญี่ปุ่น
รูปแบบก่อนหน้า
ญี่ปุ่นเก่า
  • ญี่ปุ่นสมัยกลางตอนต้น
    • ญี่ปุ่นสมัยกลางตอนปลาย
      • ญี่ปุ่นสมัยใหม่ตอนต้น
        • ภาษาญี่ปุ่น
ระบบการเขียน
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการ ญี่ปุ่น (โดยพฤตินัย)
 ปาเลา
(ในรัฐอาเงาร์)
รหัสภาษา
ISO 639-1ja
ISO 639-2jpn
ISO 639-3jpn
Linguasphere45-CAA-a
บทความนี้มีสัญลักษณ์สัทอักษรสากล หากระบบของคุณไม่รองรับการแสดงผลที่ถูกต้อง คุณอาจเห็นปรัศนี กล่อง หรือสัญลักษณ์อย่างอื่นแทนที่อักขระยูนิโคด

ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษารูปคำติดต่อที่มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์หรือการเรียงลำดับคำในประโยคแบบ ประธาน-กรรม-กริยา (subject-object-verb: SOV) แม้ว่าที่จริงแล้วลำดับคำจะมีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่งก็ตาม[8] มีโครงสร้างพยางค์ที่ไม่ซับซ้อนและส่วนใหญ่เป็นพยางค์เปิด (open syllable)[9] คำศัพท์ที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นมีทั้งคำญี่ปุ่นดั้งเดิม เรียกว่า "วาโงะ" (ญี่ปุ่น: 和語 โรมาจิ: Wago) คำที่มาจากภาษาจีน เรียกว่า "คังโงะ" (ญี่ปุ่น: 漢語 โรมาจิ: Kango) คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ เรียกว่า "ไกไรโงะ" (ญี่ปุ่น: 外来語 โรมาจิ: Gairaigo) และคำที่ประกอบด้วยคำจากสองประเภทขึ้นไป เรียกว่า "คนชูโงะ" (ญี่ปุ่น: 混種語 โรมาจิ: Konshugo)[10][หมายเหตุ 3] ภาษาญี่ปุ่นมีระบบการเขียนที่ใช้อักษรหลายประเภทร่วมกัน ได้แก่ อักษรฮิรางานะและอักษรคาตากานะ (พัฒนามาจากอักษรมันโยงานะ) เป็นตัวอักษรแสดงหน่วยเสียง (phonograph) ระดับพยางค์ และอักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยคำ (logograph)[12] ส่วนอักษรโรมันหรือโรมาจินั้นปัจจุบันมีการใช้ที่จำกัด เช่น ข้อความบนป้ายสาธารณะตามท้องถนน ชื่อและนามสกุลบนหนังสือเดินทาง และการป้อนข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์[13]

ระบบเสียง

เสียงสระ

ตำแหน่งลิ้นของเสียงสระในภาษาญี่ปุ่น
แผนภาพไดอะแกรมแสดงช่องปากมนุษย์ บริเวณด้านซ้ายของไดอะแกรมเป็นบริเวณที่ใกล้กับฟันและริมฝีปาก บริเวณด้านขวาของไดอะแกรมเป็นบริเวณที่ใกล้กับช่องคอ จุดสีดำแสดงตำแหน่งที่ลิ้นยกตัวขึ้นระหว่างการออกเสียงสระ
สระหน้า
(front)
สระกลาง
(central)
สระหลัง
(back)
สระปิด
(close)
iu
สระระดับกลาง
(mid)
eo
สระเปิด
(open)
a
  • หน่วยเสียง /i/ ในการออกเสียงจริงระดับลิ้นจะลดต่ำลงมาเล็กน้อย[14][15] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [i̞]
  • หน่วยเสียง /e/ ในการออกเสียงจริงระดับลิ้นจะลดต่ำลงมาอยู่ระหว่างเสียง [e] กับ [ɛ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [e̞]
  • หน่วยเสียง /a/ ในการออกเสียงจริงตำแหน่งลิ้นจะอยู่ระหว่างเสียง [a] กับ [ɑ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [a̠]
  • หน่วยเสียง /o/ ในการออกเสียงจริงตำแหน่งลิ้นจะลดต่ำลงมาอยู่ระหว่างเสียง [o] กับ [ɔ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดได้ขึ้นว่า [o̞]
  • หน่วยเสียง /u/ ในสำเนียงโตเกียวมีความแตกต่างจากเสียง [u] คือ ริมฝีปากไม่ห่อกลม กล่าวคือ ริมฝีปากจะผ่อนคลายแต่ไม่ถึงขั้นเหยียดริมฝีปากแบบ /i/ แม้ว่าอาจจะมีการหดริมฝีปาก (lip compression) กรณีที่ออกเสียงช้า ๆ อย่างระมัดระวังบ้างก็ตาม[16][17] อีกทั้งตำแหน่งลิ้นเยื้องมาข้างหน้าค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะเมื่อตามหลังเสียงพยัญชนะ [s] [t͡s] [d͡z] [z] ตำแหน่งลิ้นจะเยื้องไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น) ดังนั้นจึงอาจเขียนสัทอักษรโดยละเอียดได้ว่า [ɯ̈][14][15][18][หมายเหตุ 4] อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงเรื่องความแปลกเด่น (markedness) ที่ไม่สอดคล้องกันแล้ว กล่าวคือ โดยทั่วไปภาษาใดที่มีหน่วยเสียง /ɯ/ ซึ่งเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดรอง ภาษานั้นก็ควรมีหน่วยเสียง /u/ ซึ่งเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดหลักด้วย ไม่ควรจะมีเพียงแค่หน่วยเสียง /ɯ/ โดยไม่มีหน่วยเสียง /u/ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความประสานทางรูปแบบของการแจกแจง (หน่วยเสียงสระทั้ง 5 เสียงเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดหลักเหมือนกันทั้งหมด) เราจึงควรเลือกเสียง [u] ขึ้นมาเป็นตัวแทนของหน่วยเสียงมากกว่าเสียง [ɯ][15] ดังที่แสดงในตารางข้างต้น
  • ความยาวของเสียงสระมีหน้าที่ในการแยกความหมาย เช่น เสียงสระ /i/ สั้น-ยาวในคำว่า ojiisan /ozisaN/ "ลุง, น้าหรืออาเพศชาย" เทียบกับ ojiisan /oziːsaN/ "ตา, ปู่, ชายสูงอายุ" หรือเสียงสระ /u/ สั้น-ยาวในคำว่า tsuki /tuki/ "พระจันทร์" เทียบกับ tsūki /tuːki/ "กระแสลม" อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์ยังคงเห็นไม่ตรงกันว่าระบบเสียงภาษาญี่ปุ่นมีหน่วยเสียงสระยาว /aː/ /iː/ /uː/ /eː/ /oː/ หรือไม่ ทั้งนี้ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมักกำหนดให้มีหน่วยเสียงพิเศษ เช่น /R/ หรือ /H/ ตามหลังเสียงสระสั้น เช่น ojiisan → /oziRsaN/ หรือ /oziHsaN/, tsūki → /tuRki/ หรือ /tuHki/[17]

เสียงพยัญชนะ

ฐานริมฝีปากทั้งสองฐานปุ่มเหงือกฐานปุ่มเหงือก-เพดานแข็งฐานเพดานแข็งฐานเพดานอ่อนฐานลิ้นไก่ฐานเส้นเสียง
เสียงกักไม่ก้องptk(ʔ)
ก้องbdg
เสียงนาสิกmn(ɲ)(ŋ)(ɴ)
เสียงรัวลิ้น(r)
เสียงลิ้นกระทบɾ
เสียงเสียดแทรกไม่ก้องɸsɕ(ç)(x)h
ก้อง(β)zʑ(ɣ)(ɦ)
เสียงกักเสียดแทรกไม่ก้อง(t͡s)(t͡ɕ)
ก้อง(d͡z)(d͡ʑ)
เสียงเปิด
(เสียงเลื่อน)
jɰ   (w)
เสียงเปิดข้างลิ้น(l)

เสียงพยัญชนะควบกล้ำ

เสียงพยัญชนะควบกล้ำ (consonant cluster) ในภาษาญี่ปุ่นปรากฏเฉพาะตำแหน่งต้นพยางค์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ /Cy/ กับ /Cw/

  • /Cy/ คือ เสียงพยัญชนะควบกล้ำที่ตำแหน่งที่สองเป็นเสียงเลื่อน /y/ ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「や・ゆ・よ」/「ヤ・ユ・ヨ」 ขนาดเล็ก: 「ゃ・ゅ・ょ」/「ャ・ュ・ョ」เช่น 「き」(/kya/),「に」(/nyu/),「ひ」(hyo) เสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ไคโยอง" (ญี่ปุ่น: 開拗音 โรมาจิ: Kaiyōon)
  • /Cw/ คือ เสียงพยัญชนะควบกล้ำที่ตำแหน่งที่สองเป็นเสียงเลื่อน /w/ ปัจจุบันเสียงนี้ได้สูญไปจากระบบเสียงภาษาญี่ปุ่น (ภาษากลาง) แล้ว แม้จะยังคงมีเหลือให้เห็นในการสะกดคำวิสามานยนามบางคำก็ตาม เช่น ชื่อมหาวิทยาลัย "Kwansei Gakuin University" อย่างไรก็ตาม ภาษาถิ่นบางถิ่นยังคงมีเสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้อยู่[21] เสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "โกโยอง" (ญี่ปุ่น: 合拗音 โรมาจิ: Gōyōon)

เสียงพยัญชนะท้ายนาสิก

เขียนแทนหน่วยเสียงได้ด้วยอักษร N ใหญ่ (/N/) เป็นเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์และมีการกลมกลืนเสียง (assimilation) กับเสียงที่อยู่รอบข้าง[22] ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「ん」/「ン」 เสียงพยัญชนะท้ายนาสิกแบ่งเป็นหน่วยเสียงย่อยได้ดังนี้[14][17]

ตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียด[หมายเหตุ 10]ความหมาย
เสียงนาสิก ริมฝีปาก: [m]散歩(さぽ)/saNpo/[sapo]เดินเล่น
เสียงนาสิก ปุ่มเหงือก: [n]本当(ほとう)/hoNtoː/[hotoː]จริง
เสียงนาสิก (หน้า) เพดานแข็ง: [ɲ]筋肉(きにく)/kiNniku/[kʲiɲːɲikɯ]กล้ามเนื้อ
เสียงนาสิก เพดานอ่อน: [ŋ]頑固(がこ)/gaNko/[gaŋːko]ดื้อรั้น
เสียงนาสิก ลิ้นไก่: [ɴ]不満(ふま/humaN/[ɸɯmaɴː]ไม่พอใจ
เสียงสระนาสิก: [Ṽ]千円(せえん)/seNen/[seeŋː]หนึ่งพันเยน
  1. จะออกเสียงเป็น [m] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะริมฝีปากที่มีการปิดฐานกรณ์: [p, b, m]
  2. จะออกเสียงเป็น [n] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนปุ่มเหงือกที่มีการปิดฐานกรณ์: [t, d, n, t͡s, d͡z, ɾ]
  3. จะออกเสียงเป็น [ɲ] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะ (หน้า) เพดานแข็งที่มีการปิดฐานกรณ์: [t͡ɕ, d͡z, ɲ]
  4. จะออกเสียงเป็น [ŋ] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะเพดานอ่อนที่มีการปิดฐานกรณ์: [k, g, ŋ]
  5. จะออกเสียงเป็น [ŋ] หรือ [ɴ] เมื่อไม่มีเสียงอะไรตามมา (เช่น เมื่อพูดจบหรือเว้นช่วงระหว่างพูด)
  6. จะออกเสียงเป็นเสียงสระนาสิก (nasal vowel) เมื่อตามด้วยเสียงที่ไม่มีการปิดฐานกรณ์ โดยอาจจะออกเป็นเสียง [ã, ĩ, ɯ̃, ẽ] หรือ [õ] ขึ้นอยู่กับเสียงรอบข้าง (หากพูดช้า ๆ อาจจะเป็นเสียง [ŋ] หรือ [ɴ])

เสียงพยัญชนะซ้ำ

เขียนแทนหน่วยเสียงได้ด้วยอักษร Q ใหญ่ (/Q/) เป็นเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์และออกเสียงโดยซ้ำเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ถัดไปตามกระบวนการทางสัทวิทยาที่เรียกว่าการซ้ำเสียง (gemination)[23] ทำให้เสียงพยัญชนะเหล่านี้กลายเป็นเสียงพยัญชนะยาว (long consonant)[14][16] ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「つ」/「ツ」 ขนาดเล็ก: 「っ」/「ッ」

เสียงพยัญชนะที่ซ้ำตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมาย
เสียงกัก ริมฝีปาก ไม่ก้อง: [p]一歩(いぽ)/iQpo/[io]หนึ่งก้าว
เสียงกัก ปุ่มเหงือก ไม่ก้อง: [t]夫(おと)/oQto/[oo]สามี
เสียงกัก เพดานอ่อน ไม่ก้อง: [k]真っ赤(まか)/maQka/[maa]สีแดงสด
เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ไม่ก้อง: [s]実際(じさい)/zyiQsai/[d͡ʑiai̯]ความเป็นจริง
เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ไม่ก้อง: [ɕ]雑誌(ざし)/zaQsi/[d͡zaɕːi]นิตยสาร

โดยปกติแล้ว เสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดกับเสียงพยัญชนะไม่ก้องเท่านั้น ยกเว้นคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศบางคำที่อาจจะพบการซ้ำเสียงพยัญชนะก้อง อีกทั้งยังพบการซ้ำเสียงพยัญชนะเสียดแทรก [ɸ, ç, h] (เสียงพยัญชนะของอักษรวรรค は) ในคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศบางคำด้วย

เสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/ ที่ปรากฏเพิ่มเติมด้วยอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ
เสียงพยัญชนะที่ซ้ำตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมาย
เสียงกัก ริมฝีปาก ก้อง: [b]ウェ/weQbu/[weɯ]เว็บ (ภาษาอังกฤษ: "web")
เสียงกัก ปุ่มเหงือก ก้อง: [d]/beQdo/[beo]เตียงนอน (ภาษาอังกฤษ: "bed")
เสียงกัก เพดานอ่อน ก้อง: [g]/baQgu/[baɯ]กระเป๋า (ภาษาอังกฤษ: "bag")
เสียงเสียดแทรก ริมฝีปาก ไม่ก้อง: [ɸ]フル/waQfuru/[waɸːɯɾɯ]ขนมรังผึ้ง (ภาษาอังกฤษ: "waffle")
เสียงเสียดแทรก เพดานแข็ง ไม่ก้อง: [ç]チューリ/tyuːriQhi/[t͡ɕɯːçːi]เมืองซือริช (ภาษาเยอรมัน: "Zürich")
เสียงเสียดแทรก เส้นเสียง ไม่ก้อง: [h]/maQha/[maa]เลขมัค (ภาษาเยอรมัน: "Mach")

อย่างไรก็ตาม คนญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะออกเสียงโดยเปลี่ยนจากเสียงก้องเป็นเสียงไม่ก้องอยู่หลายคำ เช่น [beo] → [beo], [baɯ] → [baɯ] บ่อยครั้งที่ป้ายหรือโฆษณาสะกดคำโดยใช้อักษรเสียงไม่ก้องแทน เช่น 「バッ」 เป็น 「バッ[14][24]

เสียงของอักษรคานะ

-a-i-u-e-o-ya-yu-yo

a

[a]

i

[i]

u

[ɯ]

e

[e]

o

[o]

ka

[ka]

ki

[kʲi]

ku

[kɯ]

ke

[ke]

ko

[ko]

きゃ

kya

[kja]

きゅ

kyu

[kjɯ]

きょ

kyo

[kjo]

sa

[sa]

si

[ɕi]

su

[sɯ]

se

[se]

so

[so]

しゃ

sya

[ɕa]

しゅ

syu

[ɕɯ]

しょ

syo

[ɕo]

ta

[ta]

ti

[t͡ɕi]

tu

[t͡sɯ]

te

[te]

to

[to]

ちゃ

tya

[t͡ɕa]

ちゅ

tyu

[t͡ɕɯ]

ちょ

tyo

[t͡ɕo]

na

[na]

ni

[ɲi]

nu

[nɯ]

ne

[ne]

no

[no]

にゃ

nya

[ɲa]

にゅ

nyu

[ɲɯ]

にょ

nyo

[ɲo]

ha

[ha]

hi

[çi]

hu

[ɸɯ]

he

[he]

ho

[ho]

ひゃ

hya

[ça]

ひゅ

hyu

[çɯ]

ひょ

hyo

[ço]

ma

[ma]

mi

[mʲi]

mu

[mɯ]

me

[me]

mo

[mo]

みゃ

mya

[mja]

みゅ

myu

[mjɯ]

みょ

myo

[mjo]

ya

[ja]

yu

[jɯ]

yo

[jo]

ra

[ɾa]

ri

[ɾʲi]

ru

[ɾɯ]

re

[ɾe]

ro

[ɾo]

りゃ

rya

[ɾja]

りゅ

ryu

[ɾjɯ]

りょ

ryo

[ɾjo]

wa

[ɰa]

(を)

(o)

([o])

ga

[ga/ŋa]

gi

[gʲi/ŋʲi]

gu

[gɯ/ŋɯ]

ge

[ge/ŋe]

go

[go/ŋo]

ぎゃ

gya

[gja/ŋja]

ぎゅ

gyu

[gjɯ/ŋjɯ]

ぎょ

gyo

[gjo/ŋjo]

za

[d͡za/za]

zi

[d͡ʑi/ʑi]

zu

[d͡zɯ/zɯ]

ze

[d͡ze/ze]

zo

[d͡zo/zo]

じゃ

zya

[d͡ʑa/ʑa]

じゅ

zyu

[d͡ʑɯ/ʑɯ]

じょ

zyo

[d͡ʑo/ʑo]

da

[da]

(ぢ)

(zi)

([d͡ʑi/ʑi])

(づ)

(zu)

([d͡zɯ/zɯ])

de

[de]

do

[do]

(ぢゃ)

(zya)

([d͡ʑa/ʑa])

(ぢゅ)

(zyu)

([d͡ʑɯ/ʑɯ])

(ぢょ)

(zyo)

([d͡ʑo/ʑo])

ba

[ba]

bi

[bʲi]

bu

[bɯ]

be

[be]

bo

[bo]

びゃ

bya

[bja]

びゅ

byu

[bjɯ]

びょ

byo

[bjo]

pa

[pa]

pi

[pʲi]

pu

[pɯ]

pe

[pe]

po

[po]

ぴゃ

pya

[pja]

ぴゅ

pyu

[pjɯ]

ぴょ

pyo

[pjo]

หน่วยเสียงอื่น ๆ
หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก /N/
หน่วยเสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/
  • ตัวอักษร 「を」 ออกเสียงเหมือน 「お」[3][19][หมายเหตุ 11]
  • ตัวอักษร 「ぢ」「ぢゃ」「ぢゅ」「ぢょ」「づ」 ออกเสียงเหมือน 「じ」「じゃ」「じゅ」「じょ」「ず」 ตามลำดับ[3][14]
  • มีนักภาษาศาสตร์บางกลุ่มที่นับจำนวนหน่วยเสียงในภาษาญี่ปุ่นแตกต่างไปจากข้อมูลข้างต้น เช่น
    • กลุ่มที่นับเสียง [ŋ] (เสียงนาสิก เพดานอ่อน) แยกจากหน่วยเสียง /g/ (เสียงกัก เพดานอ่อน ก้อง) ออกมาเป็นอีกหนึ่งหน่วยเสียง[14][หมายเหตุ 12]
    • กลุ่มที่มองว่า [tʲi](てぃ/ティ) กับ [tɯ](とぅ/トゥ) ซึ่งใช้กับเฉพาะคำศัพท์ภาษาต่างประเทศ เช่น 「パーティー」 (อังกฤษ: party) 「タトゥー」 (อังกฤษ: tattoo) เป็นสมาชิกในระบบเสียงของภาษาญี่ปุ่นด้วย[19]
    • กลุ่มที่ไม่ยอมรับว่าภาษาญี่ปุ่นมีหน่วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (Q)[19]
    • กลุ่มที่วิเคราะห์ว่ามีหน่วยเสียงยาว (R หรือ H) อยู่ในภาษาญี่ปุ่นด้วย[22]
  • เสียงพยัญชนะที่อยู่หน้าเสียงสระ /i/ จะมีการออกเสียงเพดานแข็ง (palatalization) ประกอบ โดยแบ่งระดับการยกลิ้นได้ 2 ระดับ[26]
    1. ยกลิ้นส่วนหน้าขึ้นใกล้เพดานแข็งมากจนทำให้จุดกำเนิดเสียงเคลื่อนออกไปจากจุดเดิมจนต้องเปลี่ยนไปใช้สัทอักษรตัวอื่น เช่น /si/ → [ɕi] (เปลี่ยนจาก s เป็น ɕ)
    2. ยกลิ้นส่วนหน้าขึ้นใกล้เพดานแข็งแต่ไม่มากจนต้องถึงขั้นเปลี่ยนสัทอักษร เช่น /ki/ → [kʲi] (เพิ่มเครื่องหมาย [ʲ] เพื่อแสดงว่ามีการยกลิ้นส่วนหน้าประกอบเท่านั้น)

การลดความก้องของเสียงสระ

การลดความก้องของเสียงสระ (ญี่ปุ่น: 母音無声化 โรมาจิ: Boin-museika อังกฤษ: vowel devoicing) พบได้ในภาษาญี่ปุ่นหลายถิ่นรวมถึงภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) มักจะเกิดขึ้นเมื่อเสียงสระปิด (/i/ หรือ /u/) อยู่ระหว่างเสียงพยัญชนะไม่ก้องกับเสียงพยัญชนะไม่ก้อง[27] เช่น

(อักษรสีแดง คือ เสียงสระที่ลดความก้อง)

ตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมายตำแหน่งที่ลดความก้อง
ちか/tikai/[t͡ɕkai̯]ใกล้「ち」:[t͡ɕi] → [t͡ɕi̥]
きた/oki-ta/[ota]ตื่นแล้ว「き」:[kʲi] → [kʲi̥]
失敗しっぱい/siQpai/[ɕai̯]ผิดพลาด「し」:[ɕi] → [ɕi̥]
学生がくせい/gakuseː/[gakɯ̥seː]นักเรียน, นิสิต-นักศึกษา「く」:[kɯ] → [kɯ̥]
息子むすこ/musuko/[mɯsɯ̥ko]ลูกชาย「す」:[sɯ] → [sɯ̥]
つくえ/tukue/[t͡sɯ̥kɯe]โต๊ะ「つ」:[t͡sɯ] → [t͡sɯ̥]

นอกจากนี้ การลดความก้องของเสียงสระมักจะเกิดขึ้นเมื่อเสียงสระปิดตามหลังเสียงพยัญชนะไม่ก้องและเป็นจังหวะที่ผู้พูดพูดจบหรือเว้นวรรค[14] เช่น

ตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมายตำแหน่งที่ลดความก้อง
あき/aki/[a]ฤดูใบไม้ร่วง「き」:[kʲi] → [kʲi̥]
菓子かし/okasi/[okaɕ]ขนม「し」:[ɕi] → [ɕi̥]
です/desu/[desɯ̥](คำกริยานุเคราะห์)「す」:[sɯ] → [sɯ̥]
ます/masu/[masɯ̥](คำกริยานุเคราะห์)「す」:[sɯ] → [sɯ̥]

โดยทั่วไป เจ้าของภาษามักจะเลี่ยงการลดความก้องแบบต่อเนื่องกัน ส่งผลให้มีเสียงสระปิดบางตำแหน่งไม่ลดความก้องแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมตามเงื่อนไข[14] แต่ก็เป็นไปได้ที่จะออกเสียงโดยลดความก้องเสียงสระปิดแบบต่อเนื่องกัน[16]

ตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมายตำแหน่งที่ลดความก้อง
復習ふくしゅう/hukusyuu/[ɸɯ̥kɯɕɯː] ~ [ɸɯ̥kɯ̥ɕɯː]ทบทวน「ふ」:[ɸɯ] → [ɸɯ̥]

(「く」:[kɯ] → [kɯ̥])

知識ちしき/tisiki/[t͡ɕiɕi] ~ [t͡ɕɕi]ความรู้「し」:[ɕi → ɕi̥]

(「ち」:[t͡ɕi] → [t͡ɕi̥]) 

寄付金きふきん/kihukiN/[kʲiɸɯ̥iŋ] ~ [ɸɯ̥iŋ]เงินบริจาค「ふ」:[ɸɯ] → [ɸɯ̥]

(「き」:[kʲi] → [kʲi̥])

อย่างไรก็ตาม การลดความก้องของเสียงสระอาจจะพบในเสียงสระที่ไม่ใช่สระปิดได้เช่นกัน[14][16]

ตัวอย่างคำระดับหน่วยเสียงเสียงโดยละเอียดความหมายตำแหน่งที่ลดความก้อง
ほこり/hokori/[hkoɾʲi]ฝุ่น「ほ」:[ho[ → [ho̥]
かかる/kakaru/[kkaɾɯ]ใช้ (เวลา, เงิน)「か」:[ka] → [kḁ]
こころ/kokoro/[kkoɾo]หัวใจ「こ」:[ko] → [ko̥]

การลดความก้องของเสียงสระของคำศัพท์แต่ละคำสามารถตรวจสอบได้จากพจนานุกรมการออกเสียงภาษาญี่ปุ่น เช่น 『新明解しんめいかい日本語にほんごアクセント辞典じてん』 หรือ 『NHK日本語発音にほんごはつおんアクセント新辞典しんじてん』 ทั้งนี้ ปรากฏการณ์นี้พบได้น้อยในภาษาญี่ปุ่นตะวันตก (Western Japanese)[หมายเหตุ 13]

พยางค์และมอรา

พยางค์

พยางค์ในภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งตามน้ำหนักของพยางค์ (syllable weight) ได้ดังนี้[16]

1.พยางค์เบา (light syllable)
พยางค์เบาในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยเสียงสระสั้น จะมีเสียงพยัญชนะต้น/พยัญชนะต้นควบกล้ำหรือไม่ก็ได้
ตัวอย่าง: /i/ (กระเพาะ), /su/ น้ำส้มสายชู, /tya/ ชา
2.พยางค์หนัก (heavy syllable)
พยางค์หนักในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยเสียงสระยาวหรือเสียงสระสั้นที่มีเสียงพยัญชนะท้าย จะมีเสียงพยัญชนะต้น/พยัญชนะต้นควบกล้ำหรือไม่ก็ได้
ตัวอย่าง: /oː/ (พระราชา), /zyuN/ (เกณฑ์)
3.พยางค์หนักมาก (superheavy syllable)
เป็นพยางค์ที่จำนวนหน่วยแยกส่วน (segment) มากกว่าจำนวนของหน่วยแยกส่วนในพยางค์เบาและพยางค์หนัก พยางค์ชนิดนี้มีเฉพาะในบางภาษาและองค์ประกอบของหน่วยส่วนแยกไม่ชัดเจนเพราะขึ้นอยู่กับลักษณะของพยางค์เบาและพยางค์หนักในภาษานั้น ๆ[28]
ตัวอย่าง: /aːN/ (เสียงร้องไห้ของเด็กทารก), /roːN/ (เงินกู้)

โครงสร้างพยางค์

ชนิดพยางค์องค์ประกอบของพยางค์ตัวอย่างคำระดับ
หน่วยเสียง
ความหมาย
พยางค์เบา
(light syllable)
สระสั้น (V)/i/กระเพาะ
/o/หาง
พยัญชนะต้น+สระสั้น (CV)/su/น้ำส้มสายชู
/yu/น้ำร้อน
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระสั้น (CyV)[หมายเหตุ 14]ちゃ/tya/ชา
しゅ/syu/ชนิด, ประเภท
พยางค์หนัก
(heavy syllables)
สระยาว (Vː )映画えいが/.ga/ภาพยนตร์
おう//พระราชา
พยัญชนะต้น+สระยาว (CVː)とうさん/o.toː.saN/คุณพ่อ
にいさん/o.niː.saN/พี่ชาย
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระยาว (CyVː)じゅう/dyuː/สิบ
ひょう/hyoː/ตาราง
สระสั้น+พยัญชนะท้ายนาสิก (VN)あん/aN/ร่าง (เอกสาร)
うん/uN/โชค
พยัญชนะต้น+สระสั้น+พยัญชนะท้ายนาสิก (CVN)まん/maN/หมื่น
きん/kiN/ทอง
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระสั้น+พยัญชนะท้ายนาสิก (CyVN)じゅん/zyuN/เกณฑ์
あかちゃん/a.ka.tyaN/ทารก
สระสั้น+พยัญชนะซ้ำ (VQ)悪化あっか/aQ.ka/เลวร้ายลง
おっと/oQ.to/สามี
พยัญชนะต้น+สระสั้น+พยัญชนะซ้ำ (CVQ)作家さっか/saQ.ka/นักเขียน
切手きって/kiQ.te/ไปรษณียากร
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระสั้น+พยัญชนะซ้ำ (CyVQ)若干じゃっかん/zyaQ.kaN/เพียงเล็กน้อย
却下却下/kyaQ.ka/ยกฟ้อง
พยางค์หนักมาก
(superheavy syllable)
สระยาว+พยัญชนะท้ายนาสิก (VːN)ああん/aːN/เสียงร้องไห้ของเด็กทารก
พยัญชนะต้น+สระยาว+พยัญชนะท้ายนาสิก (CVːN)ローン/roːN/เงินกู้
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระยาว+พยัญชนะท้ายนาสิก (CyVːN)コミューン/ko.myuːN/พูดคุยกันอย่างสนิทสนม
สระยาว+พยัญชนะซ้อน (VːQ)いいって/iːt.te/"ไม่เป็นไรหรอก"
พยัญชนะต้น+สระยาว+พยัญชนะซ้ำ (CVːQ)こおった/koːQ.ta/(น้ำ) แข็งตัว
พยัญชนะต้น+เสียงเลื่อน+สระยาว+พยัญชนะซ้ำ (CyVːQ)ひゅうっと/hyuːQ.to/(เสียงลมพัด)
C หมายถึง เสียงพยัญชนะ (consonant)
V หมายถึง เสียงสระ (vowel)
y หมายถึง เสียงเลื่อน /y/
N หมายถึง เสียงพยัญชนะท้ายนาสิก /N/
Q หมายถึง เสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/
เครื่องหมาย ː ใช้แสดงเสียงยาว (long)
เครื่องหมาย . ใช้แสดงขอบเขตระหว่างพยางค์ (syllable boundary)

มอรา

มอรา (ญี่ปุ่น: 拍 โรมาจิ: Haku) เป็นหน่วยการนับในระดับที่เล็กกว่าระดับคำตามทฤษฎีสัทวิทยาเน้นจังหวะ (metrical phonology)[31] เป็นการนับช่วงความยาวของเสียงที่เท่า ๆ กัน และเป็นหน่วยพื้นฐานกำหนดจังหวะ (rhythm) ของคำและประโยคภาษาญี่ปุ่น[32] จำนวนมอราของคำคำหนึ่งในภาษาญี่ปุ่นอาจจะเท่ากับจำนวนพยางค์หรือมากกว่าจำนวนพยางค์ โดยพยางค์เบา 1 พยางค์นับเป็น 1 มอรา พยางค์หนัก 1 พยางค์นับแยกเป็น 2 มอรา และพยางค์หนักมาก 1 พยางค์นับเป็น 3 มอรา[16] เช่น คำว่า 「おばあさん」 (ย่า, ยาย) หากนับจำนวนพยางค์จะได้ 3 พยางค์ แต่หากนับจำนวนมอราจะได้ 5 มอรา

นับตามจำนวนพยางค์おばあさん/o.baː.saN/(o|baː|saN)
นับตามจำนวนมอราおばあさん/o.ba.a.sa.N/(o|ba|a|sa|N)
(เครื่องหมาย "." ใช้แสดงขอบเขตระหว่างพยางค์หรือมอรา)

แม้ว่าเมื่อวัดค่าตามจริงแล้วมอราแต่ละมอราอาจจะไม่ได้เท่ากันในทางกายภาพ แต่เจ้าของภาษา (ในที่นี้คือผู้พูดภาษาญี่ปุ่น) ทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะรับรู้ช่วงความยาวของของแต่ละมอราว่ายาวเท่า ๆ กัน (ความยาวทางจิตวิทยา)[14]

ความแตกต่างระหว่างการนับจำนวนพยางค์กับจำนวนมอราของคำในภาษาญี่ปุ่นสามารถสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้

1. เสียงสระสั้นทุกเสียง หรือเสียงพยัญชนะตามด้วยเสียงสระสั้น นับเป็น 1 พยางค์ และนับเป็น 1 มอราเท่ากัน

ตัวอย่างคำนับตามพยางค์นับตามมอราความหมายจำนวนพยางค์ต่อมอรา
えき/e.ki//e.ki/สถานีรถไฟ2:2
さくら/sa.ku.ra//sa.ku.ra/ดอกซากุระ3:3
地下鉄ちかてつ/ti.ka.te.tu//ti.ka.te.tu/รถไฟใต้ดิน4:4

2. เสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก (/N/) หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก (/N/) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา คือ CV กับ N

ตัวอย่างคำนับตามพยางค์นับตามมอราความหมายจำนวนพยางค์ต่อมอรา
ほん/hoN//ho.N/หนังสือ1:2
演技えんぎ/eN.gi//e.N.gi/การแสดง2:3
オランダ/o.raN.da//o.ra.N.daประเทศเนเธอร์แลนด์3:4

3. เสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (/Q/) หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (/Q/) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา คือ CV กับ Q

ตัวอย่างคำนับตามพยางค์นับตามมอราความหมายจำนวนพยางค์ต่อมอรา
切符きっぷ/kiQ.pu//ki.Q.pu/ตั๋ว2:3
びっくり/biQ.ku.ri//bi.Q.ku.ri/ตกใจ3:4
まっすぐ/maQ.su.gu//ma.Q.su.gu/ตรงไป3:4

4. เสียงสระยาว หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระยาว นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา

ตัวอย่างคำนับตามพยางค์นับตามมอราความหมายจำนวนพยางค์ต่อมอรา
時計とけい/to.keː//to.ke.e/นาฬิกา2:3
かあさん/o.kaː.saN//o.ka.a.sa.N/คุณแม่3:5
とうさん/o.toː.saN//o.to.o.sa.N/คุณพ่อ3:5

5. เสียงสระประสมสองส่วน (diphthong) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา

ตัวอย่างคำนับตามพยางค์นับตามมอราความหมายจำนวนพยางค์ต่อมอรา
再会さいかい/sai.kai//sa.i.ka.i/การพบกันใหม่2:4
社会しゃかい/sya.kai//sya.ka.i/สังคม2:3
オイル/oi.ru//o.i.ru/น้ำมัน2:3

ระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ

ระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ (ญี่ปุ่น: 高低アクセント โรมาจิ: Kōtei-akusento อังกฤษ: Pitch accent) เป็นหนึ่งในสัทลักษณะ (sound quality) ที่พบได้ในภาษาญี่ปุ่นหลายถิ่นรวมถึงภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงน้ำหนัก (accent) คำหรือพยางค์ในถ้อยความให้มีความเด่นชัดขึ้น[33] แตกต่างจากเสียงวรรณยุกต์ (tone) ตรงที่เสียงวรรณยุกต์เป็นระดับเสียงภายในพยางค์ (ต่ำ กลาง สูง ขึ้น ตก ฯลฯ ภายในพยางค์) ในขณะที่ระดับเสียงสูงต่ำในภาษาญี่ปุ่นเป็นระดับเสียงระหว่างมอรา (ต้องฟังเปรียบเทียบระหว่างมอราจึงจะทราบว่ามอราใดสูง มอราใดต่ำ)[14]

ประเภทของระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ

คำในภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) สามารถแบ่งประเภทตามตำแหน่งเสียงตก (ตำแหน่งที่เสียงเริ่มลดระดับต่ำลง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 「がり」) ได้ดังนี้[1]

(เครื่องหมาย 「」 ใช้เพื่อแสดงตำแหน่งเสียงตก ส่วนเครื่องหมาย 「」 ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือหน่วยคำนั้นไม่มีตำแหน่งเสียงตก อักษรไม่เข้มใช้เพื่อแสดงว่ามอราดังกล่าวลดความก้องของเสียงสระ)

  1. คำที่มีตำแหน่งเสียงตกต้นคำ (ญี่ปุ่น: 頭高型あたまだかがた โรมาจิ: Atama-daka-gata ทับศัพท์: อาตามาดากางาตะ) มอราแรกเสียงจะสูง ถัดจากนั้นจะเริ่มลดระดับต่ำลง เช่น
    •   木: []      เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「キ」
    •   猫: []     เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ネ」
    •   命: [ノチ]    เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「イ」
    •  埼玉: [イタマ]   เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「サ」
  2. คำที่มีตำแหน่งเสียงตกกลางคำ (ญี่ปุ่น: 中高型なかだかがた โรมาจิ: Naka-daka-gata ทับศัพท์: นากาดากางาตะ) เสียงจะสูงไปจนถึงตำแหน่งเสียงตก จากนั้นเสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลง เช่น
    • あなた: [アナ]    เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ナ」
    • 味噌汁: [ミソシ]   เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「シ」
    • 飛行機: [ヒーキ]   เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「コ」
    • 美術館: [ビジュカン] หรือビジュカン]  เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ツ」 หรือ 「ジュ」
  3. คำที่มีตำแหน่งเสียงตกท้ายคำ (ญี่ปุ่น: 尾高型おだかがた โรมาจิ: O-daka-gata ทับศัพท์: โอดากางาตะ) เสียงจะสูงไปจนถึงท้ายคำ หากมีหน่วยคำ เช่น คำช่วย มาต่อท้าย เสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลงตั้งแต่คำช่วยตัวดังกล่าว เช่น
    •   山: [ヤマ]     เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [ヤマカ゚
    •   男: [オトコ]    เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [オトコカ゚
    •   妹: [イモート]   เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [イモートカ゚
  4. คำที่ไม่มีตำแหน่งเสียงตก (แบบราบ) (ญี่ปุ่น: 平板型へいばんがた โรมาจิ: Heiban-gata ทับศัพท์: เฮบังงาตะ)
    •   魚: [サカナ]    เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [サカナカ゚
    •   竹: [タケ]     เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [タケカ゚
    •  休日: [キュージツ]  เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [キュージツカ゚

สัญลักษณ์แสดงตำแหน่งเสียงตก

ในอักขรวิธีของภาษาญี่ปุ่นไม่มีสัญลักษณ์ในการแสดงระดับเสียงแบบภาษาไทย (เครื่องหมายวรรณยุกต์) ดังนั้นในการแสดงตำแหน่งเสียงตกจึงจำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์พิเศษบางอย่างซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของหนังสือหรือพจนานุกรมเล่มนั้น เช่น

สัญลักษณ์ความหมายตัวอย่างหนังสือหรือพจนานุกรมที่ใช้
],

ใช้ระบุตำแหน่งเสียงตก

] ใช้ระบุว่าคำดังกล่าวไม่มีตำแหน่งเสียงตก

ミソシ

サカナ

『NHK日本語発音にほんごはつおんアクセント新辞典しんじてん
[↓],

[○]

[↓] ใช้ระบุตำแหน่งเสียงตก

[○] ใช้ระบุว่าคำดังกล่าวไม่มีตำแหน่งเสียงตก

みそし↓る

さかな○

小学館しょうがくかん デジタル大辞泉だいじせん 物書堂版ものかきどうばん
] หรือ 「❜」] หรือ 「❜」 ใช้ระบุตำแหน่งเสียงตก

ไม่มีเครื่องหมายเมื่อไม่มีตำแหน่งเสียงตก

みそし

みそし❜る

さかな

"การออกเสียงภาษาญี่ปุ่น จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ" (ยุพกา, 2018)

日本語音声学入門にほんごおんせいがくにゅうもん』 (Saitō, 2015)

นอกจากการใช้สัญลักษณ์ เช่น [] หรือ [ ] ในการแสดงตำแหน่งเสียงตก (がり) ของคำศัพท์แล้ว ยังมีการใช้ตัวเลขในการแสดงแกนเสียงสูง-ต่ำ (มอราตัวสุดท้ายก่อนที่เสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า アクセントかく) เช่น ในพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่น 『大辞林だいじりん』 หรือ 『新明解国語辞典しんめいかいこくごじてん

(สีน้ำเงินใช้แสดงตำแหน่งแกนเสียงสูง-ต่ำ)

  • き(1)【木】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 1 นั่นคือ 「き」:[
  • いのち(1)【命】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 1 นั่นคือ 「い」:[ノチ
  • みそしる(3)【味噌汁】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 3 นั่นคือ 「し」:[ミソ
  • ひこうき(2)【飛行機】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 2 นั่นคือ 「こ」:[ヒーキ
  • いもうと(4)【妹】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 4 นั่นคือ 「と」:[イモー
  • さかな(0)【魚】 หมายถึง ไม่มีแกนเสียงสูง-ต่ำ:[サカナ

ระบบการเขียน

ปัจจุบันภาษาญี่ปุ่นใช้ระบบการเขียนแบบผสมผสาน โดยใช้อักษรฮิรางานะและอักษรคาตากานะซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยเสียง (phonograph) ระดับพยางค์ และอักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยคำ (logograph)[12] ประโยคหนึ่งประโยคอาจมีอักษรทั้ง 3 ประเภทปะปนกัน

ประโยคตัวอย่าง 「朝食にハムエッグを食べました」 ("กินแฮมกับไข่เป็นอาหารเช้า")
ภาษาญี่ปุ่น朝食ハムエッグまし
โรมาจิchōshokunihamuegguotabemashita
ความหมายอาหารเช้า(คำช่วย)แฮมกับไข่(คำช่วย)กิน(แสดงความสุภาพ)(อดีตกาลหรือการณ์ลักษณะสมบูรณ์)

ประโยคข้างต้นประกอบด้วยตัวอักษรทั้ง 3 ประเภท สีเขียวคืออักษรฮิรางานะ สีน้ำเงินคืออักษรคาตากานะ และสีแดงคืออักษรคันจิ

คันจิ

ฮิรางานะและคาตากานะ

ไวยากรณ์

โครงสร้างประโยคพื้นฐาน

ลำดับของคำในประโยคภาษาญี่ปุ่นคือ ประธาน กรรม และกริยา โดยประธาน กรรม และส่วนอื่นๆ ในประโยคจะมี "คำช่วย" กำกับอยู่เพื่อบ่งบอกหน้าที่ของคำที่นำหน้า

โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยหัวเรื่องและส่วนอธิบาย ตัวอย่างเช่น Kochira wa Tanaka-san desu (こちらは田中さんです) kochira แปลว่า "นี้" เป็นหัวเรื่องของประโยคเพราะมี wa กำกับอยู่ ส่วน Tanaka-san desu เป็นส่วนอธิบายของประโยค desu เป็นกริยาของประโยคที่แปลได้ว่า "เป็น" ประโยคนี้แปลคร่าวๆ ได้ว่า "สำหรับคนนี้ เขาคือคุณทานากะ" ภาษาญี่ปุ่นมีความคล้ายกับภาษาในเอเชียหลายๆ ภาษาที่มักจะระบุหัวเรื่องของประโยคแยกจากประธาน กล่าวคือหัวเรื่องของประโยคไม่จำเป็นต้องเป็นประธานของประโยค ตัวอย่างเช่น Zō wa hana-ga nagai desu (象は鼻が長いです) แปลตามตัวได้ว่า "สำหรับช้าง จมูก(ของพวกมัน)ยาว" หัวเรื่องของประโยคคือ (ช้าง) ในขณะที่ประธานของประโยคคือ hana (จมูก)

ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ชอบละคำ กล่าวคือ มักจะมีการละประธานหรือกรรมของประโยคที่เป็นที่รู้กันกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังรู้สึกว่าประโยคที่สั้นๆดีกว่าประโยคยาวๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาพูด ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงมักจะละคำต่างๆในประโยคมากกว่าจะอ้างถึงมันด้วยคำสรรพนาม ตัวอย่างเช่น จากประโยคข้างบน hana-ga nagai ก็แปลได้ว่า "จมูก[ของช้าง]ยาว" โดยที่ไม่ต้องระบุหัวเรื่องของประโยคหากเป็นที่เข้าใจตรงกันว่ากำลังกล่าวถึงช้าง นอกจากนี้ กริยาเพียงตัวเดียวก็ถือว่าเป็นประโยคที่สมบูรณ์ได้ เช่น Yatta! แปลว่า "[ฉัน]ทำ[มันสำเร็จแล้ว]" คำคุณศัพท์เพียงตัวเดียวก็ถือว่าเป็นประโยคที่สมบูรณ์ได้เช่นกัน เช่น Urayamashii! แปลว่า "[ฉันรู้สึก]อิจฉา[มัน]"

แม้ว่าภาษาญี่ปุ่นจะมีคำบางคำที่ถือได้ว่าเป็นคำสรรพนาม แต่คนญี่ปุ่นก็ไม่ใช้คำสรรพนามบ่อยเท่ากับภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียน ในทางกลับกัน คนญี่ปุ่นมักจะใช้กริยาพิเศษหรือกริยาช่วยเพื่อบ่งบอกทิศทางของการกระทำ เช่น "ล่าง" เพื่อบ่งบอกว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำจากนอกกลุ่มที่เป็นผลประโยชน์ต่อในกลุ่ม และใช้คำว่า "บน" เพื่อบ่งบอกว่าเป็นการกระทำจากภายในกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อนอกกลุ่ม ตัวอย่างเช่น oshiete moratta แปลว่า "[เขา/พวกเขา]อธิบายให้[ฉัน/พวกเรา]" ขณะที่ oshiete ageta แปลว่า "[ฉัน/พวกเรา]อธิบายให้[เขา/พวกเขา]" การใช้กริยาช่วยในลักษณะนี้ทำให้รู้ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำได้เหมือนกับการใช้คำสรรพนามและคำบุพบทในภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียน

คำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นมีลักษณะคล้ายคลึงกับคำนาม กล่าวคือ เราสามารถใช้คำขยายมาขยายคำสรรพนามได้ ซึ่งแตกต่างจากคำสรรพนามในภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียนที่ไม่สามารถกระทำได้ เช่น

The amazed he ran down the street. (เขาที่กำลังงงวิ่งไปตามถนน)

ประโยคข้างบนนี้ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แต่ถือว่าถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น

驚いた彼は道を走っていた。 Odoroita kare wa michi o hashitte itta.

สาเหตุที่คำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นคล้ายคลึงกับคำนาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำสรรพนามบางคำมีต้นกำเนิดมาจากคำนาม เช่น kimi ที่แปลว่า "คุณ" แต่เดิมแปลว่า "เจ้านาย" และ boku ที่แปลว่า "ผม" แต่เดิมแปลว่า "ข้ารับใช้" ดังนั้น นักภาษาศาสตร์บางคนจึงไม่จัดว่าคำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นเป็นคำสรรพนามที่แท้จริง แต่เป็นคำนามที่ใช้อ้างอิง คนญี่ปุ่นจะใช้คำเรียกตัวเองในกรณีที่ต้องบอกว่าใครกำลังทำอะไรให้ใครเท่านั้น

คำสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองขึ้นอยู่กับเพศของผู้พูดและสถานการณ์ในขณะนั้น ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ผู้หญิงและผู้ชายสามารถใช้ watashi หรือ watakushi ได้ ส่วนในสถานการณ์ที่เป็นกันเอง ผู้ชายมักเรียกตัวเองว่า ore คำสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ฟังนั้นขึ้นอยู่กับสถานภาพทางสังคมและความคุ้นเคยระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง คำบางคำอาจเป็นคำที่สุภาพในสถานการณ์หนึ่ง แต่อาจไม่สุภาพในอีกสถานการณ์หนึ่งก็ได้

ชาวญี่ปุ่นมักเรียกบุคคลด้วยตำแหน่งหน้าที่แทนการใช้สรรพนาม ตัวอย่าง เช่น นักเรียนเรียกอาจารย์ว่า sensei (先生, อาจารย์) ไม่ใช่ anata ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเพราะคำว่า anata ใช้เรียกบุคคลที่มีสถานภาพเท่ากันหรือต่ำกว่าเท่านั้น

ชาวต่างชาติที่พูดภาษาญี่ปุ่นมักขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า watashi-wa แม้ว่าประโยคนี้จะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่ก็ฟังดูแปลกมากสำหรับชาวญี่ปุ่น เปรียบเทียบเหมือนกับการใช้คำนามซ้ำๆในภาษาไทย เช่น "สมชายกำลังมา กรุณาทำข้าวผัดให้สมชายเพราะสมชายชอบข้าวผัด ฉันหวังว่าสมชายจะชอบชุดที่ฉันใส่อยู่ ..."

ตัวอย่างประโยค

คำนาม 1 + は + คำนาม 2 + です。

มีความหมายว่า "คำนาม 1 นั้นคือ คำนาม 2" ตัวอย่างเช่น

私はソムチャイです。Watashi wa Somuchai desuฉันชื่อสมชาย
私はタイ人です。Watashi wa Taijin desuฉันเป็นคนไทย

ในโครงสร้างประโยคนี้ใช้ は (อ่านว่า วะ ไม่ใช่ ฮะ) เป็นคำช่วยใช้ชี้หัวข้อเรื่องที่กำลังจะพูด ในที่นี้คือ "ฉัน" ประโยคบอกเล่าสามารถเปลี่ยนให้เป็นประโยคคำถามเพื่อถามว่าใช่หรือไม่ โดยการเติม か ลงท้ายประโยค เวลาพูดให้ออกเสียงสูงท้ายประโยค ตัวอย่างเช่น

あなたは日本人ですか?Anata wa Nihonjin desu ka?คุณเป็นคนญี่ปุ่นใช่หรือไม่
いいえ、中国人です。Iie, Chūgokujin desuไม่ใช่, เป็นคนจีน

คำศัพท์

watashiฉัน
あなたanataคุณ
タイ人taijinคนไทย
日本人Nihonjinคนญี่ปุ่น
中国人Chūgokujinคนจีน
はいhaiใช่
いいえiieไม่ใช่


ประธาน + は + กรรม + を+ กริยา

มีความหมายว่า "ประธานกระทำกริยากับกรรม" ตัวอย่างเช่น

私はご飯を食べる。Watashi wa gohan o taberuฉันกินข้าว
彼は本を読みます。Kare wa hon o yomimasuเขาอ่านหนังสือ

ในโครงสร้างประโยคนี้ จะเห็นว่าเราใช้คำช่วย を ต่อท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค

คำศัพท์

ご飯gohanข้าว
honหนังสือ
食べるtaberuกิน
読みますyomimasuอ่าน
kareเขา (ผู้ชาย)

กริยารูปอดีต และปฏิเสธ

ภาษาญี่ปุ่นมีการผันรูปของกริยา เป็นไปตามกาล(Tense)เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นในประโยคปฏิเสธมีการผันกริยาเพื่อแสดงความหมายว่า "ไม่" อีกด้วย หลักการผันกริยามีดังนี้

รูปปัจจุบัน บอกเล่ารูปอดีต บอกเล่ารูปปัจจุบัน ปฏิเสธรูปอดีต ปฏิเสธ
~ます~ました~ません~ませんでした
食べます
tabemasu
食べました
tabemashita
食べません
tabemasen
食べませんでした
tabemasendeshita
飲みます
nomimasu
飲みました
nomimashita
飲みません
nomimasen
飲みませんでした
nomimasendeshita
見ます
mimasu
見ました
mimashita
見ません
mimasen
見ませんでした
mimasendeshita
今日テレビを見ます。Kyō terebi o mimasuวันนี้จะดูโทรทัศน์
昨日テレビを見ました。Kinō terebi o mimashitaเมื่อวานดูโทรทัศน์
今日テレビを見ません。Kyō terebi o mimasenวันนี้จะไม่ดูโทรทัศน์
昨日テレビを見ませんでした。Kinō terebi o mimasendeshitaเมื่อวานไม่ได้ดูโทรทัศน์

คำศัพท์

見ますmimasuดู
テレビterebiโทรทัศน์
今日kyōวันนี้
昨日kinōเมื่อวาน

คำนามและคำบ่งชี้

คำสรรพนาม

คำสรรพนามที่ใช้กันทั่วไป
บุคคลที่รูปทั่วไปรูปสุภาพรูปยกย่อง
หนึ่ง僕 (boku, ผู้ชาย)
あたし (atashi, ผู้หญิง)
俺(ore,ผู้ชาย)
私 (watashi)私 (watakushi)
สอง君 (kimi)
お前 (omae)
あなた (anata)
そちら (sochira)
あなた様 (anata-sama)
สาม彼 (kare, ผู้ชาย)
彼女 (kanojo, ผู้หญิง)

แม้ว่าตำราไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นหลายเล่มจะกล่าวถึงคำสรรพนาม (代名詞 ไดเมชิ) แต่นั่นก็ไม่ใช่คำสรรพนามที่แท้จริง เพราะคำสรรพนามที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่มีคำมาขยาย แต่ไดเมชิในภาษาญี่ปุ่นมีคำขยายได้ เช่น 背の高い彼女 (se no takai kanojo หมายถึง "เธอ" ที่มีคำว่า"สูง"มาขยาย) ปัจจุบันมีไดเมชิใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ในขณะที่ไดเมชิเก่าๆก็กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว

มีไดเมชิจำนวนหนึ่งที่ถือได้ว่าใกล้เคียงกับคำสรรพนาม เช่น 彼 (kare, เขา) 彼女 (kanojo, เธอ); 私 (watashi, ฉัน) ขณะที่ไดเมชิบางคำถือว่าเป็น"คำนามส่วนตัว" ไม่ใช่สรรพนาม เช่น 己 (onore, ฉัน (ให้ความหมายในทางอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก)) หรือ 僕 (boku, ฉัน (เด็กผู้ชาย)) คำเหล่านี้เปรียบเสมือนชื่อตัวเอง นั่นคือคนอื่นอาจเรียกเราด้วยไดเมชิเดียวกับที่เราเรียกตัวเองก็ได้ ผู้อื่นอาจใช้ おのれ (onore) ซึ่งเป็นการเรียกผู้ฟังในเชิงหยาบคาย หรืออาจใช้ boku ซึ่งเป็นการเรียกผู้ฟังในเชิงเห็นผู้ฟังเป็นเด็ก นอกจากนี้ ยังมีไดเมชิบางคำที่มีหลายความหมาย เช่น kare และ kanojo สามารถแปลได้ว่า แฟน(ที่เป็นผู้ชาย) และ แฟน(ที่เป็นผู้หญิง) ตามลำดับ

คนญี่ปุ่นมักไม่ค่อยใช้ไดเมชิเรียกตัวเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องระบุประธานทุกครั้งในกรณีที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกันอยู่แล้ว และโดยปกติ คนญี่ปุ่นมักจะเรียกชื่อหรือใช้คำนามเฉพาะเจาะจงแทนการใช้สรรพนาม เช่น

「木下さんは、背が高いですね。」
Kinoshita-san wa, se ga takai desu ne.
(กำลังพูดกับคุณคิโนะชิตะ) "คุณคิโนะชิตะสูงจังเลยนะครับ"

「専務、明日福岡市西区の山本商事の社長に会っていただけますか?」
Semmu, asu Fukuoka-shi Nishi-ku no Yamamoto-shōji no shachō ni atte itadakemasuka?
(กำลังพูดกับผู้จัดการ) "ท่านผู้จัดการจะสามารถไปพบท่านประธานบริษัทยามะโมโตะพรุ่งนี้ได้ไหมคะ?"

คำบ่งชี้

คำบ่งชี้
ko-so-a-do-
kore
อันนี้
sore
อันนั้น
are
อันโน้น
dore
อันไหน?
kono
นี้
sono
นั้น
ano
โน้น
dono
ไหน?
konna
เหมือนอย่างนี้
sonna
เหมือนอย่างนั้น
anna
เหมือนอย่างโน้น
donna
อย่างไร? เหมือนอย่างไหน
koko
ที่นี่
soko
ที่นั่น
asoko *
ที่โน่น
doko
ที่ไหน?
kochira
ทางนี้
sochira
ทางนั้น
achira
ทางโน้น
dochira
ทางไหน?

แบบนี้

แบบนั้น
ā *
แบบโน้น

แบบไหน?
* รูปพิเศษ

คำบ่งชี้มีทั้งหมดสามแบบคือ คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย ko, so และ a คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย ko ใช้ระบุสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย so ใช้ระบุสิ่งที่ใกล้ตัวผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และคำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย a ใช้ระบุสิ่งที่อยู่ไกลทั้งผู้พูดและผู้ฟัง คำบ่งชี้สามารถทำให้เป็นรูปคำถามได้ด้วยการใช้คำว่า do ขึ้นต้น คำบ่งชี้ยังสามารถใช้ระบุบุคลได้ด้วย เช่น

「こちらは林さんです。」
Kochira wa Hayashi-san desu.
"นี่คือคุณฮะยะชิ"

คำบ่งชี้ที่ใช้เจาะจงคำนาม ต้องวางไว้หน้าคำนาม เช่น この本 (kono hon) แปลว่า หนังสือเล่มนี้ และ その本 (sono hon) แปลว่า หนังสือเล่มนั้น

เมื่อใช้คำบ่งชี้ระบุสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือสิ่งที่ผู้พูดหรือผู้ฟังไม่เห็นในขณะนั้น คำบ่งชี้แต่ละคำจะมีความหมายในเชิงความรู้สึกที่แตกต่างกัน คำบ่งชี้ที่แสดงความไกลทั้งผู้พูดและผู้ฟัง มักจะใช้พูดถึงสิ่งหรือประสบการณ์ที่ผู้พูดมีร่วมกับผู้ฟัง เช่น

A:先日、札幌に行って来ました。
A: Senjitsu, Sapporo ni itte kimashita.
A: เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปซัปโปโรมา

B:あそこ(*そこ)はいつ行ってもいい所ですね。
B: Asoko (*Soko) wa itsu itte mo ii tokoro desu ne.
B: ไม่ว่าจะไปเมื่อไร ที่นั่นก็เป็นที่ที่ดีเสมอเลยเนอะ

หากใช้ soko แทน asoko ในประโยคนี้ จะหมายความว่า B ไม่มีความรู้เกี่ยวกับซัปโปโร ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับซัปโปโร ดังนั้น จึงใช้ soko แทนไม่ได้ คำบ่งชี้ที่ใช้บอกว่าอยู่ใกล้ผู้ฟังมากกว่าผู้พูด มักใช้พูดถึงสิ่งหรือประสบการณ์ที่ผู้พูดและผู้ฟังไม่ได้มีร่วมกัน เช่น

佐藤:田中という人が昨日死んだって…
Satō: Tanaka to iu hito ga kinō shinda tte…
ซะโต: ฉันได้ยินว่าคนที่ชื่อทานากะตายเมื่อวานนี้…

森:えっ、本当?
Mori: E', hontō?
โมริ: เอ๊ะ จริงหรือ?

佐藤:だから、その(*あの)人、森さんの昔の隣人じゃなかったっけ?
Satō : Dakara, sono (*ano) hito, Mori-san no mukashi no rinjin ja nakatta 'kke?
ซะโต: ฉันถึงได้ถามไง เขาเป็นญาติของเธอไม่ใช่หรือ?

สังเกตว่า ถ้าใช้ ano แทน sono ในประโยคนี้จะไม่เหมาะสม เพราะว่าซะโตะไม่ได้รู้จักกับทานากะเป็นการส่วนตัว

ความสุภาพ

ภาษาญี่ปุ่นมีการใช้ไวยากรณ์พิเศษเพื่อแสดงถึงความสุภาพและความเป็นทางการ ซึ่งแตกต่างจากภาษาตะวันตก

สังคมญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในหลายระดับ กล่าวคือ คนหนึ่งมีสถานะสูงกว่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยที่มากำหนด อาทิ หน้าที่การงาน อายุ ประสบการณ์ และสถานะทางจิตใจ (ผู้คนจะเรียกร้องให้สุภาพต่อกัน) ผู้ที่มีวุฒิน้อยกว่าจะใช้ภาษาที่สุภาพ ขณะที่ผู้ที่มีวุฒิอาจใช้ภาษาที่เรียบง่าย ผู้ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนจะใช้ภาษาสุภาพต่อกัน เด็กเล็กมักไม่ใช้ภาษาสุภาพจนกว่าจะเป็นวัยรุ่น เมื่อโตขึ้น พวกเขาจะพูดภาษาที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เทเนโงะ (丁寧語) (ภาษาสุภาพ) มักจะเป็นการผันคำเป็นส่วนใหญ่ ส่วนซงเคโงะ (尊敬語) (ภาษายกย่อง) และ เค็นโจโงะ (謙譲語) (ภาษาถ่อมตัว) จะใช้รูปคำกริยาพิเศษที่แสดงถึงการยกย่องและการถ่อมตัว เช่น อิคุ ที่แปลว่า "ไป" จะเปลี่ยนเป็น อิคิมะซุ เมื่ออยู่ในรูปสุภาพ เปลี่ยนเป็น อิรัสชะรุ เมื่ออยู่ในรูปยกย่อง และเปลี่ยนเป็น มะอิรุ เมื่ออยู่ในรูปถ่อมตัว

ภาษาถ่อมตัวจะใช้ในการพูดเกี่ยวกับตัวเอง หรือกลุ่มของตัวเอง (บริษัท, ครอบครัว) ขณะที่ภาษายกย่องจะใช้เมื่อกล่าวถึงผู้สนทนาหรือกลุ่มอื่น เช่น คำว่า -ซัง ที่ใช้ต่อท้ายชื่อ (แปลว่า คุณ-) ถือเป็นภาษายกย่องอย่างหนึ่ง จะไม่ใช้เรียกตนเองหรือเรียกคนที่อยู่ในกลุ่มของตนให้ผู้อื่นฟังเพราะบริษัทถือเป็นกลุ่มของผู้พูด เมื่อพูดกับผู้ที่อยู่สูงกว่าในบริษัทของตน หรือพูดกับพนักงานในบริษัทของตนเกี่ยวกับผู้ที่อยู่สูงกว่า ชาวญี่ปุ่นจะใช้ภาษายกย่องผู้ที่อยู่สูงกว่าในกลุ่มของตน แต่เมื่อพูดกับพนักงานบริษัทอื่น (คนที่อยู่นอกกลุ่ม) ชาวญี่ปุ่นจะใช้รูปแบบถ่อมตนเมื่ออ้างถึงคนที่สูงกว่าในบริษัทของตน

คำที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นจะเกี่ยวข้องกับบุคคล ภาษาและการกระทำซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละคนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ (ทั้งในกลุ่มและนอกกลุ่ม) ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงมีการกำหนดคำยกย่องทางสังคมที่เรียกว่า"การยกย่องแบบสัมพัทธ์" ซึ่งแตกต่างจากระบบของเกาหลีซึ่งเป็น"การยกย่องแบบสัมบูรณ์" กล่าวคือ ภาษาเกาหลีจะกำหนดคำที่ใช้คุยกับแต่ละคนๆไป (เช่น พ่อของตน, แม่ของตน, หัวหน้าของตน) โดยไม่ขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ดังนั้น ภาษาสุภาพของเกาหลีจึงฟังดูบุ่มบ่ามเมื่อแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นตามตัวอักษร เช่นในภาษาเกาหลี เราพูดว่า "ท่านประธานบริษัทของพวกเรา... " กับคนที่อยู่นอกกลุ่มได้ตามปกติ แต่ชาวญี่ปุ่นถือว่าการพูดเช่นนี้ไม่สุภาพ

คำนามหลายคำในภาษาญี่ปุ่นอาจทำให้อยู่ในรูปสุภาพได้ ด้วยการเติมคำอุปสรรค โอะ- หรือ โกะ- นำหน้า คำว่า โอะ- มักใช้กับคำที่มาจากภาษาญี่ปุ่น ขณะที่คำว่า โกะ- ใช้กับคำที่รับมาจากภาษาจีน บางครั้ง คำที่เติมนำหน้าก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำนั้นอย่างถาวร และกลายเป็นคำศัพท์ที่อยู่ในรูปปกติ เช่นคำว่า โกะฮัง ที่แปลว่าอาหาร การใช้คำเหล่านี้แสดงถึงความเคารพต่อเจ้าของสิ่งของและเคารพต่อสิ่งของ เช่น คำว่า โทะโมะดะชิ ที่แปลว่าเพื่อน จะกลายเป็นคำว่า โอะ-โทะโมะดะชิ เมื่อกล่าวถึงเพื่อนของบุคคลที่สถานะสูงกว่า (แม้แต่แม่ก็มักจะใช้คำนี้เมื่อกล่าวถึงเพื่อนของลูก) ผู้พูดอาจใช้คำว่า โอะ-มิซุ ที่แปลว่าน้ำ แทนคำว่ามิซุเพื่อแสดงความสุภาพก็ได้

ชาวญี่ปุ่นจะใช้ภาษาสุภาพกับผู้ที่ยังไม่สนิทสนมกัน นั่นคือ พวกเขาจะใช้ภาษาสุภาพกับผู้ที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ แต่หลังจากสนิทสนมกันมากขึ้นแล้ว พวกเขาจะไม่ใช้ภาษาสุภาพอีกต่อไป ทั้งนี้ไม่ขึ้นกับอายุ สถานะทางสังคม หรือเพศ

คำศัพท์

ประวัติศาสตร์

วิวัฒนาการของภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้[12]

  1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric age; 先史時代せんしじだい) อยู่ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 8 ตรงกับยุคโจมง ยุคยาโยอิ ยุคโคฟุง และยุคอาซูกะ
  2. ภาษาญี่ปุ่นเก่า (Old Japanese; 上代語じょうだいご) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ตรงกับยุคนาระ
  3. ภาษาญี่ปุ่นกลางตอนต้น (Early Middle Japanese; 中古語ちゅうこご) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตรงกับยุคเฮอัง
  4. ภาษาญี่ปุ่นกลางตอนปลาย (Late Middle Japanese; 中世語ちゅうせいご) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปี ตรงกับยุคคามากูระ ยุคมูโรมาจิ และยุคอาซูจิ-โมโมยามะ
  5. ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบัน (Modern Japanese; 近世語きんせいご, 現代語げんだいご) เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงปัจจุบัน โดยอาจแบ่งย่อยได้เป็น 2 ช่วง ได้แก่ ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในยุคเอโดะ (近世語きんせいご) กับภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตั้งแต่ยุคเมจิจนถึงปัจจุบัน (現代語げんだいご)

การจำแนกตามภูมิศาสตร์

ภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งเป็นภาษาย่อยได้ดังต่อไปนี้[34]

ภาษาย่อยของภาษาญี่ปุ่น
ภาษาภาษาย่อยพื้นที่
ภาษาญี่ปุ่น (日本語にほんごญี่ปุ่นตะวันออก (東日本ひがしにほんฮอกไกโด北海道ほっかいどう
โทโฮกุ東北とうほく
คันโต関東かんとう
โทไก-โทซัง (東海東山とうかいとうさん
ฮาจิโจจิมะ (八丈島はちじょうじま
ญี่ปุ่นตะวันตก (西日本にしにほんโฮกูริกุ北陸ほくりく
คิงกิ近畿きんき
ชูโงกุ中国ちゅうごく
ชิโกกุ四国しこく
คีวชู九州きゅうしゅう
รีวกีว琉球りゅうきゅうอามามิ (奄美あまみ
โอกินาวะ沖縄おきなわ
ซากิชิมะ (先島さきしま

อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์บางคนไม่จัดให้ภาษาที่พูดในหมู่เกาะรีวกีวเป็นภาษาย่อยของภาษาญี่ปุ่นตามตารางข้างต้น แต่จัดให้ภาษาดังกล่าวเป็นภาษาพี่น้องร่วมตระกูลกับภาษาญี่ปุ่น[35]

กลุ่มภาษา


การเรียนภาษาญี่ปุ่น

มหาวิทยาลัยจำนวนมากทั่วโลกมีการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถมบางแห่งที่สอนภาษาญี่ปุ่นด้วย ภาษาญี่ปุ่นได้รับความสนใจตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1800 และเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟูในทศวรรษ 1980 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัฒนธรรมป๊อปปูล่าร์ของญี่ปุ่น (เช่น อนิเมะ และ วิดีโอเกม) กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ใน ค.ศ. 2003 มีผู้ศึกษาภาษาญี่ปุ่นอยู่ทั้งหมด 2.3 ล้านคนทั่วโลก แบ่งเป็น ชาวเกาหลีใต้ 900,000 คน ชาวจีน 389,000 ชาวออสเตรเลีย 381,000 คน และชาวอเมริกัน 140,000 คน ในญี่ปุ่นมีชาวต่างชาติที่ศึกษาภาษาญี่ปุ่นทั้งที่มหาวิทยาลัยและที่โรงเรียนสอนภาษาอยู่ทั้งหมด 90,000 คน แบ่งเป็นชาวจีน 77,000 คน และชาวเกาหลีใต้ 15,000 นอกจากนี้ รัฐท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรไม่หวังผลกำไรยังสนับสนุนให้มีการเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรีสำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ รวมถึงชาวบราซิล-ญี่ปุ่น และชาวต่างชาติที่โอนสัญชาติเป็นญี่ปุ่นด้วย

รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้มีการสอบวัดระดับทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ การทดสอบที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) และการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นธุรกิจ (JETRO) ที่จัดโดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น

หมายเหตุ

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

ผลงานที่อ้างอิง

  • Bloch, Bernard (1946). Studies in colloquial Japanese I: Inflection. Journal of the American Oriental Society, 66, pp. 97–130.
  • Bloch, Bernard (1946). Studies in colloquial Japanese II: Syntax. Language, 22, pp. 200–248.
  • Chafe, William L. (1976). Giveness, contrastiveness, definiteness, subjects, topics, and point of view. In C. Li (Ed.), Subject and topic (pp. 25–56). New York: Academic Press. ISBN 0-12-447350-4.
  • Dalby, Andrew. (2004). "Japanese," เก็บถาวร 2022-03-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน in Dictionary of Languages: the Definitive Reference to More than 400 Languages. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-11568-1, 978-0-231-11569-8; OCLC 474656178
  • Frellesvig, Bjarke (2010). A history of the Japanese language. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-65320-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-27. สืบค้นเมื่อ 2021-11-17.
  • Frellesvig, B.; Whitman, J. (2008). Proto-Japanese: Issues and Prospects. Amsterdam studies in the theory and history of linguistic science / 4. John Benjamins Publishing Company. ISBN 978-90-272-4809-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-27. สืบค้นเมื่อ 2022-03-26.
  • Kindaichi, Haruhiko; Hirano, Umeyo (1978). The Japanese Language. Tuttle Publishing. ISBN 978-0-8048-1579-6.
  • Kuno, Susumu (1973). The structure of the Japanese language. Cambridge, MA: MIT Press. ISBN 0-262-11049-0.
  • Kuno, Susumu. (1976). "Subject, theme, and the speaker's empathy: A re-examination of relativization phenomena," in Charles N. Li (Ed.), Subject and topic (pp. 417–444). New York: Academic Press. ISBN 0-12-447350-4.
  • McClain, Yoko Matsuoka. (1981). Handbook of modern Japanese grammar: 口語日本文法便覧 [Kōgo Nihon bumpō]. Tokyo: Hokuseido Press. ISBN 4-590-00570-0, 0-89346-149-0.
  • Miller, Roy (1967). The Japanese language. Chicago: University of Chicago Press.
  • Miller, Roy (1980). Origins of the Japanese language: Lectures in Japan during the academic year, 1977–78. Seattle: University of Washington Press. ISBN 0-295-95766-2.
  • Mizutani, Osamu; & Mizutani, Nobuko (1987). How to be polite in Japanese: 日本語の敬語 [Nihongo no keigo]. Tokyo: The Japan Times. ISBN 4-7890-0338-8.
  • Robbeets, Martine Irma (2005). Is Japanese Related to Korean, Tungusic, Mongolic and Turkic?. Otto Harrassowitz Verlag. ISBN 978-3-447-05247-4.
  • Okada, Hideo (1999). "Japanese". Handbook of the International Phonetic Association. Cambridge: Cambridge University Press. pp. 117–119.
  • Shibamoto, Janet S. (1985). Japanese women's language. New York: Academic Press. ISBN 0-12-640030-X. Graduate Level
  • Shibatani, Masayoshi (1990). The languages of Japan. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-36070-6. ISBN 0-521-36918-5 (pbk).
  • Tsujimura, Natsuko (1996). An introduction to Japanese linguistics. Cambridge, MA: Blackwell Publishers. ISBN 0-631-19855-5 (hbk); ISBN 0-631-19856-3 (pbk). Upper Level Textbooks
  • Tsujimura, Natsuko (Ed.) (1999). The handbook of Japanese linguistics. Malden, MA: Blackwell Publishers. ISBN 0-631-20504-7. Readings/Anthologies
  • Vovin, Alexander (2010). Korea-Japonica: A Re-Evaluation of a Common Genetic Origin. University of Hawaii Press. ISBN 978-0-8248-3278-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-23. สืบค้นเมื่อ 2015-10-18.

อ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง