การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปครั้งที่ 25 และเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556[1]
| |||
ทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไทย ต้องการ 251 ที่นั่งจึงเป็นฝ่ายข้างมาก | |||
---|---|---|---|
ลงทะเบียน | 43,024,042 | ||
ผู้ใช้สิทธิ | 47.72% ( 21.31 จุด) | ||
|
คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ต่อต้านการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนมีการเลือกตั้ง[2][3] และได้ขัดขวางหน่วยเลือกตั้งในบางท้องที่ของกรุงเทพมหานครและภาคใต้จนไม่สามารถเปิดให้ลงคะแนนได้[4][5] ซึ่งส่งผลให้คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ได้และจะจัดให้มีการเลือกตั้งชดเชยในเขตที่เลือกตั้งไม่ได้[6] นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่คว่ำบาตรการเลือกตั้งครั้งนี้[7]
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งเปิดเผยจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศแบบไม่เป็นทางการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์คิดเป็นร้อยละ 45.84[8] มีกำหนดการเลือกตั้งชดเชยในวันที่ 1-2 มีนาคม 2557
วันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรที่กำหนดให้เลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สามารถเลือกตั้งให้แล้วเสร็จทั่วประเทศได้ภายในวันเดียวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง และเมื่อพระราชกฤษฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย[9] หลังจากนั้นวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ดำเนินต่อไปจนกระทั่งลงเอยด้วยรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557
เบื้องหลัง
หลังพรรคเพื่อไทย พรรครัฐบาล พยายามผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าพยายามนำอดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ผู้ลี้ภัยหลังการกล่าวหาละเมิดอำนาจ กลับประเทศ ต่อมา เกิดการประท้วง ซึ่งรวมข้อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและให้ตระกูลชินวัตรเลิกเกี่ยวข้องกับการเมืองไทย หลังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ลาออกทั้งหมด วันที่ 9 ธันวาคม ยิ่งลักษณ์แถลงทางโทรทัศน์ว่า เธอขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ. 2556 เพื่อให้ชาวไทยยุติวิกฤตการณ์[10] อย่างไรก็ดี สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำการประท้วงต่อต้านรัฐบาล กล่าวว่า การประท้วงจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะบรรลุข้อเรียกร้อง รวมทั้งการจัดตั้ง "สภาประชาชน" ที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง เขากล่าวว่า "การยุบสภาไม่ใช่เป้าหมายของเรา"[11] ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวว่าเธอจะไม่ลาออกก่อนหน้าการเลือกตั้ง[12]
การรณรงค์ต่อต้านการเลือกตั้ง
วันที่ 31 มกราคม สุเทพประกาศว่า หน่วยเลือกตั้งจะสามารถเปิดทำการได้สำหรับการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ตามปกติ ทว่า แหล่งข้อมูลยังว่า สุเทพเชื่ออย่างแรงกล้าว่า วันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะเป็นโมฆะเพราะปัญหากฎหมายหลายอย่างที่จะเกิดตามมา[13]
รูปแบบการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2554 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน เป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 125 คน[14]
ระบบบัญชีรายชื่อ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ หมายเลขผู้สมัครที่จับในระบบบัญชีรายชื่อจะใช้กับระบบแบ่งเขตเลือกตั้งด้วย แต่ละพรรคจะใช้หมายเลขเดียวกันทั้งสองระบบทั่วประเทศ หมายเลขที่แต่ละพรรคจับได้มีดังนี้
|
จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง [15] | บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน | บัตรเสีย | ผู้มาใช้สิทธิ | ผู้ไม่มาใช้สิทธิ | จังหวัดผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด | จังหวัดผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุด |
---|---|---|---|---|---|---|
43,024,042 คน (100.00%) | 3,426,080 คะแนน (16.69%) | 2,458,461 ใบ (11.97%) | 20,530,359คน (47.72%) | 22,494,427 คน (52.28%) | จ.เชียงใหม่ 827,808 คน (75.05%) | จ.นครศรีธรรมราช 1,302 คน (0.11%) * |
- * หมายเหตุ: ไม่มีข้อมูลเนื่องจากสามารถเปิดให้ลงคะแนนได้ 3 เขต จากทั้งหมด 9 เขต[ต้องการอ้างอิง]
เขตเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยครั้งนี้ แบบแบ่งเขตลงคะแนนแบบ "เขตเดียวเบอร์เดียว" คือ แบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 375 เขต โดยให้แต่ละเขตมีจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกันให้มากที่สุด ดังนั้น ในแต่ละเขตจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คนอย่างเท่าเทียมกัน และผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสามารถเลือกผู้สมัครได้เพียงคนเดียว
นอกจากนั้น มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเขตเลือกตั้งจากครั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี พ.ศ. 2554 ใน 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดนนทบุรีที่เดิมมี 6 เขตเลือกตั้ง เพิ่มเป็น 7 เขตเลือกตั้ง และจังหวัดสุโขทัยเขตเลือกตั้งลดลงจาก 4 เขตเลือกตั้ง เป็น 3 เขตเลือกตั้ง [16] [17]
แต่ละจังหวัด มีจำนวนเขตเลือกตั้งดังต่อไปนี้ [18]
พื้นที่ | จำนวน |
---|---|
กรุงเทพ | 33 |
นครราชสีมา | 15 |
อุบลราชธานี | 11 |
เชียงใหม่, ขอนแก่น | 10 |
อุดรธานี, นครศรีธรรมราช และบุรีรัมย์ | 9 |
ชลบุรี, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และสงขลา | 8 |
ชัยภูมิ, เชียงราย,นนทบุรี,สมุทรปราการ สกลนคร | 7 |
นครสวรรค์, สุราษฎร์ธานี, ปทุมธานี, เพชรบูรณ์ และกาฬสินธุ์ | 6 |
กาญจนบุรี, นครปฐม, พระนครศรีอยุธยา, พิษณุโลก, มหาสารคาม, ราชบุรี และสุพรรณบุรี | 5 |
กำแพงเพชร, ฉะเชิงเทรา, ตรัง, นครพนม, นราธิวาส, ปัตตานี, ระยอง, ลพบุรี, ลำปาง, เลย และสระบุรี | 4 |
กระบี่, จันทบุรี, ชุมพร, ตาก, น่าน, ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี, พะเยา, พัทลุง, พิจิตร, อุตรดิตถ์, เพชรบุรี , แพร่, ยโสธร, ยะลา, สมุทรสาคร, สระแก้ว, สุโขทัย, หนองคาย และหนองบัวลำภู | 3 |
ชัยนาท, ภูเก็ต, มุกดาหาร, ลำพูน, สตูล, อ่างทอง, อำนาจเจริญ, อุทัยธานี และบึงกาฬ | 2 |
ตราด, นครนายก, พังงา, แม่ฮ่องสอน, ระนอง, สิงห์บุรี และสมุทรสงคราม | 1 |
การย้ายเข้าสังกัดพรรค
อนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้ อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย (บ้านเลขที่ 111 บ้านเลขที่ 109) ได้รับสิทธิทางการเมืองกลับคืนมาทั้งหมด
พรรคเพื่อไทย
- กลุ่มมัชฌิมา จากพรรคภูมิใจไทย นำโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประกอบด้วย
- นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย สมาชิกบ้านเลขที่ 111
- นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรี สมาชิกบ้านเลขที่ 109
- นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
- นายอนุชา นาคาศัย สมาชิกบ้านเลขที่ 111 สามีนางพรทิวา นาคาศัย ส.ส. ชัยนาท พรรคภูมิใจไทย
- นางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส. ชัยนาท พรรคภูมิใจไทย
- นายมานิต นพอมรบดี ส.ส. ราชบุรี พรรคภูมิใจไทย
- นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา สมาชิกบ้านเลขที่ 109
- นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส. ราชบุรี พรรคภูมิใจไทย
- นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล ส.ส. สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย
- นายมนู พุกประเสริฐ ส.ส. สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย
- อดีตสมาชิกพรรคภูมิใจไทย
- นางสาวชะวรลัทธิ์ ชินธรรมมิตร ส.ส. ราชบุรี
- นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส. นครนายก
- นายประนอม โพธิ์คำ ส.ส. นครราชสีมา[19]
- นายวิสิทธิ์ พิทยาภรณ์ ส.ส. นครราชสีมา
- นายโอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย ส.ส. ชัยภูมิ
- นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ สมาชิกบ้านเลขที่ 111 สามีนางอุดมลักษณ์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส. ศรีสะเกษ
- อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา
- นางปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี[20]
- นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส. พระนครศรีอยุธยา[21]
- อดีตสมาชิกพรรคชาติพัฒนา
- นายพลพีร์ สุวรรณฉวี ส.ส. นครราชสีมา[22]
- กลุ่มวาดะห์ จากพรรคมาตุภูมิ[23] อาทิ
- นายมุข สุไลมาน อดีต ส.ส. ปัตตานี
- นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีต ส.ส. นราธิวาส
- นายนัจมุดดีน อูมา อดีต ส.ส. นราธิวาส
- กลุ่มนายสิทธิชัย โควสุรัตน์ จากพรรคชาติพัฒนา[24] อาทิ
- นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรี
- วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานสภาผู้แทนราษฏร
- นายภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ อดีต ส.ส. ศรีสะเกษ
- นายอุดร ทองประเสริฐ อดีต ส.ส. อุบลราชธานี
พรรคชาติไทยพัฒนา
- อดีตกลุ่มวังพญานาค จากพรรคชาติพัฒนา[25] อาทิ
- นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ อดีตรัฐมนตรี
- นายเอกภาพ พลซื่อ อดีต ส.ส. ร้อยเอ็ด
- นางรัชนี พลซื่อ อดีต ส.ส. ร้อยเอ็ด
- นายรณฤทธิชัย คานเขต อดีต ส.ส. ยโสธร
- นายอลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส. นครพนม
- อดีตสมาชิกพรรคมาตุภูมิ
- นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส. ปัตตานี
- อดีตสมาชิกพรรคภูมิใจไทย
- นายศุภรักษ์ ควรหา อดีต ส.ส. สุรินทร์
พรรคชาติพัฒนา
- อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์[26]
- นายนคร มาฉิม ส.ส. พิษณุโลก
- อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย
- นายปัญญา จีนาคำ อดีต ส.ส. แม่ฮ่องสอน
การเพิกถอนการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ถูกเพิกถอน หลังจากกิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์วิชากฎหมายสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า ควรยกเลิกการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจยื่นคำร้องเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น ไม่อาจยื่นคำร้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแทน โดยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557[27][28]
ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงหกต่อสามว่า เมื่อพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่การเลือกตั้งไม่สามารถแล้วเสร็จทั่วประเทศภายในวันดังกล่าวได้ พระราชกฤษฎีกาจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง ที่กำหนดให้การเลือกตั้งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ และเมื่อพระราชกฤษฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย[29][30][31]
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2557 ศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งแถลงภายหลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถึงแนวปฏิบัติภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ (หรือเสมือนไม่เคยเกิดขึ้น) แต่ถือว่าการเลือกตั้งได้เกิดขึ้นแล้ว 1 ครั้ง [32]