บิตคอยน์

บิตคอยน์ (อังกฤษ: Bitcoin) เป็นคริปโทเคอร์เรนซี[10]: 3  บิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกที่ใช้ระบบกระจายอำนาจ โดยไม่มีธนาคารกลางหรือแม้แต่ผู้คุมระบบแม้แต่คนเดียว[10]: 1 [11] เครือข่ายเป็นแบบเพียร์ทูเพียร์ และการซื้อขายเกิดขึ้นระหว่างจุดต่อเครือข่าย (network node)โดยตรง ผ่านการใช้วิทยาการเข้ารหัสลับและไม่มีสื่อกลาง[10]: 4  การซื้อขายเหล่านี้ถูกตรวจสอบโดยรายการเดินบัญชีแบบสาธารณะที่เรียกว่าบล็อกเชน บิตคอยน์ถูกพัฒนาโดยคนหรือกลุ่มคนภายใต้นามแฝง "ซาโตชิ นากาโมโตะ"[12] และถูกเผยแพร่ในรูปแบบซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซในปี พ.ศ. 2552[13]

บิตคอยน์
Prevailing bitcoin logo
โลโก้บิตคอยน์ที่แพร่หลาย
ลักษณะ
Pluralบิตคอยน์ส (bitcoins)
สัญลักษณ์₿ (ยูนิโคด:U+20BF bitcoin sign (HTML ₿))[a]
Ticker symbolBTC, XBT[b]
ความแม่นยำ10−8
หน่วยย่อย
1/1000มิลลิบิตคอยน์
1/100000000ซาโตชิ[2]
การพัฒนา
Original author(s)ซาโตชิ นากาโมโตะ
ไวต์เปเปอร์"Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System"[4]
การดำเนินการBitcoin Core
เปิดตัว0.1.0 / 9 มกราคม 2009 (15 ปีก่อน) (2009-01-09)
รุ่นล่าสุด0.20.0 / 3 มิถุนายน 2020 (3 ปีก่อน) (2020-06-03)[3]
สถานะการพัฒนาActive
เว็บไซต์bitcoin.org
Ledger
Ledger start3 มกราคม 2009 (15 ปีก่อน) (2009-01-03)
Timestamping schemeProof-of-work (partial hash inversion)
Hash functionSHA-256
Issuance scheduleDecentralized (block reward)
Initially ₿50 per block, halved every 210,000 blocks[8][9]
Block reward₿6.25[c]
Block time10 นาที
Block explorerwww.blockchain.com/explorer
Circulating supply₿19,355,918 (ข้อมูลเมื่อ 26 เมษายน ค.ศ. 2023 (2023 -04-26))
Supply limit₿21,000,000[5][d]

บิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย 'การขุด' (mining, การทำเหมือง) และสามารถแลกเป็นสกุลเงินอื่น[14] สินค้า และบริการ ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 มีร้านค้ากว่า 100,000 ร้านยอมรับการจ่ายเงินด้วยบิตคอยน์[15] งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประมาณว่าใน พ.ศ. 2560 มีผู้ใช้เงินตราแบบดิจิทัล 2.9 ถึง 5.8 ล้านคน โดยส่วนใหญ่แล้วใช้บิตคอยน์[16]

ที่มาของชื่อ

เกี่ยวกับบิตคอยน์ใน 3 นาที

คำว่า บิตคอยน์ ปรากฏขึ้นครั้งแรกและถูกให้ความหมายในสมุดปกขาว (white paper)[4] ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551[17] เป็นการรวมคำว่า บิต และ คอยน์ เข้าด้วยกัน[18]

หน่วย

หน่วยของบัญชีระบบบิตคอยน์คือ บิตคอยน์ จนถึง ค.ศ. 2014 ชื่อที่ใช้ในการซื้อขาย (ticker symbol) ของบิตคอยน์ได้แก่ BTC[a] และ XBT[b] โดยมีสัญลักษณ์ยูนิโคด[23]: 2  หน่วยย่อยที่มักถูกใช้ได้แก่ มิลลิบิตคอยน์ (mBTC) และ ซาโตชิ ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามผู้สร้างบิตคอยน์ เป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดแสดงจำนวน 0.00000001 บิตคอยน์ หรือ หนึ่งในร้อยล้านของบิตคอยน์[2] ส่วนมิลลิบิตคอยน์เท่ากับ 0.001 บิตคอยน์ หรือ หนึ่งในพันของบิตคอยน์ และยังเท่ากับ 100,000 ซาโตชิ[24]

ประวัติ

ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ชื่อโดเมน "bitcoin.org" ถูกตั้งขึ้น[25] ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ลิงก์ไปยังเอกสารในหัวข้อ บิตคอยน์:ระบบเงินอิเลคโทรนิคแบบเพียร์ทูเพียร์[4] เขียนโดย ซาโตชิ ได้ถูกส่งไปยังกลุ่มรายชื่อของอีเมลของวิทยาการเข้ารหัสลับ[25] นากาโมโตะนำซอฟต์แวร์บิตคอยน์มาใช้เป็นโค้ดแบบโอเพนซอร์ซและเปิดตัวในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552[26][13] ขณะนั้นจนถึงตอนนี้ตัวตนของนากาโมโตะยังไม่ถูกเปิดเผย[27]

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 เครือข่ายบิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้นหลัง ซาโตชิ นากาโมโตะ เริ่มขุดบล็อกแรกของเชนที่เรียกว่า บล็อกกำเนิด ที่ให้รางวัลจำนวน 50 บิตคอยน์[28][29]

หนึ่งในผู้สนับสนุน ผู้นำไปใช้ และผู้ร่วมพัฒนาบิตคอยน์คนแรก ๆ เป็นผู้รับการซื้อขายบิตคอยน์ครั้งแรก เขาเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ชื่อว่า ฮาล ฟินนีย์ (Hal Finney) ฟินนีย์ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์บิตคอยน์ในวันแรกที่เปิดตัว และได้รับ 10 บิตคอยน์จากนากาโมโตะในการซื้อขายบิตคอยน์ครั้งแรกของโลก[30][31] ผู้สนับสนุนแรกเริ่มคนอื่น ๆ ได้แก่ Wei Dai ผู้สร้าง b-money และ Nick Szabo ผู้สร้าง bit gold ทั้งคู่ที่มาก่อนบิตคอยน์[32]

ในช่วงแรก มีการประมาณว่านากาโมโตะได้ทำการขุดจำนวน 1 ล้านบิตคอยน์[33] ในพ.ศ. 2553 นากาโมโตะส่งต่อกุญแจเตือนเครือข่ายและการควบคุมที่เก็บโค้ดหลักบิตคอยน์ (Bitcoin Core code) ให้กับ Gavin Andresen ผู้ที่ต่อมากลายเป็นหัวหน้านักพัฒนาหลักของมูลนิธิบิตคอยน์ (Bitcoin Foundation)[34][35] จากนั้นนากาโมโตะก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับบิตคอยน์[36] จากนั้น Andresen ตั้งเป้าหมายว่าจะกระจายอำนาจการควบคุม และกล่าวว่า "หลังซาโตชิถอยออกไปและโยนโครงการมาบนไหล่ของฉัน สิ่งแรกที่ฉันทำคือการพยายามกระจายอำนาจ เพื่อที่โครงการจะไปต่อได้ แม้หากฉันโดนรถบัสชนก็ตาม"[36]

มูลค่าของการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ครั้งแรกถูกต่อรองผ่านทางเว็บบอร์ดพูดคุยบิตคอยน์ โดยมีการซื้อขายครั้งหนึ่งที่ใช้ 10,000 BTC เพื่อซื้อพิซซ่าจำนวนสองถาดแบบอ้อมจาก Papa John's[28]

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ช่องโหว่ครั้งใหญ่ในโพรโทคอลของบิตคอยน์ถูกพบ การซื้อขายไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างถูกต้องก่อนถูกใส่เข้าไปในบล็อกเชน ทำให้ผู้ใช้สามารถเลี่ยงข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์ของบิตคอยน์ และสร้างบิตคอยน์ขึ้นมาได้ในจำนวนไม่จำกัด[37][38] ในวันที่ 15 สิงหาคม ช่องโหว่นี้ถูกใช้สร้างกว่า 184 ล้านบิตคอยน์ผ่านการซื้อขายหนึ่งครั้ง และส่งไปยังที่อยู่สองที่ในเครือข่าย การซื้อขายถูกพบภายในไม่กี่ชั่วโมง และถูกลบออกจากบันทึกหลังแก้ไขบัคและอัปเดตรุ่นโพรโทคอลของบิตคอยน์[39][37][38]

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ฮาร์ดฟอร์ค (hard fork) ของบิตคอยน์ถูกสร้างขึ้น เรียกว่า บิตคอยน์แคช (Bitcoin Cash) บิตคอยน์แคชมีข้อจำกัดของขนาดบล็อกที่ใหญ่ขึ้นและมีบล็อกเชนที่เหมือนกัน ณ เวลาฟอร์ค[40][41]

การออกแบบ

บล็อกเชน

จำนวนข้อมูลออกที่ยังไม่ถูกใช้ในการซื้อขาย

บล็อกเชน เป็น รายการบัญชีแบบสาธารณะที่บันทึกการซื้อขายบิตคอยน์[42] วิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ทำสิ่งนี้โดยไม่ต้องพึ่งผู้มีอำนาจส่วนกลาง เพราะการรักษาสภาพบล็อกเชนทำโดยเครือข่ายของจุดต่อ (node) ที่รันซอฟต์แวร์บิตคอยน์ซึ่งสื่อสารกัน[10] การซื้อขายในรูปแบบ ผู้จ่าย X ส่ง Y บิตคอยน์ ให้กับผู้รับ Z ถูกเผยแพร่ไปยังเครือข่ายนี้โดยใช้แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่มีอยู่[43] จุดต่อเครือข่ายสามารถตรวจสอบการซื้อขาย เพิ่มการซื้อขายไปบนรายการบัญชี จากนั้นเผยแพร่การเพิ่มรายการบัญชีเหล่านี้ไปยังจุดต่ออื่น ๆ บล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย (distributed database) เพื่อการยืนยันอย่างอิสระของเชนของการเป็นเจ้าของบิตคอยน์ไม่ว่าจะจำนวนเท่าใด แต่ละจุดต่อเครือข่ายจัดเก็บสำเนาบล็อกเชนของตนเอง[44] ประมาณ 6 ครั้งต่อชั่วโมง กลุ่มใหม่ของการซื้อขายที่ถูกยอมรับหรือที่เรียกว่าบล็อกถูกสร้างขึ้น เพิ่มเข้าไปในบล็อกเชน และเผยแพร่ไปยังจุดต่อทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ทำให้ซอฟต์แวร์บิตคอยน์สามารถตัดสินเมื่อบิตคอยน์จำนวนที่กำหนดถูกใช้ และมีความสำคัญในการป้องกันการใช้ซ้อน (double-spending) ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีส่วนกลางคอยควบคุม ในขณะที่รายการเดินบัญชีแบบดั้งเดิมบันทึกรายการซื้อขายของธนบัตรจริงหรือตั๋วสัญญาใช้เงิน บล็อกเชนเป็นที่เดียวที่บิตคอยน์สามารถมีอยู่ในรูปแบบของผลลัพธ์ที่ยังไม่ถูกใช้ในการซื้อขาย[7]: ch. 5 

การซื้อขาย

จำนวนการซื้อขายบิตคอยน์ต่อเดือน (logarithmic scale)[45]

การซื้อขายถูกให้ความหมายด้วยภาษาบทคำสั่งที่คล้ายฟอร์ธ (Forth)[7]: ch. 5  การซื้อขายประกอบไปด้วย ข้อมูลเข้า และ ข้อมูลออก เมื่อผู้ใช้ส่งบิตคอยน์ ผู้ใช้กำหนดที่อยู่และจำนวนบิตคอยน์ที่จะส่งไปยังที่อยู่นั้นในข้อมูลออก เพื่อป้องกันการใช้ซ้อน ข้อมูลเข้าแต่ละข้อมูลต้องอ้างอิงกลับไปยังข้อมูลออกอันก่อนที่ยังไม่ได้ใช้ในบล็อกเชน[46] การใช้ข้อมูลเข้าหลายข้อมูลเปรียบเสมือนการใช้เหรียญหลายเหรียญในการซื้อขายด้วยเงินสด ในเมื่อการซื้อขายสามารถมีข้อมูลออกหลายข้อมูล ผู้ใช้สามารถส่งบิตคอยน์ให้กับหลายผู้รับในการซื้อขายหนึ่งครั้ง ผลรวมของข้อมูลเข้า (จำนวนเหรียญที่ใช้จ่าย) สามารถมีจำนวนมากกว่าจำนวนจ่ายทั้งหมด เช่นเดียวกับการซื้อขายด้วยเงินสด ในกรณีนี้ ข้อมูลออกเสริมถูกใช้เพื่อทอนให้กับผู้จ่าย[46] จำนวนซาโตชิที่ถูกป้อนเข้าและไม่ถูกบันทึกสำหรับการซื้อขายออกกลายเป็นค่าธรรมเนียมการซื้อขาย[46]

ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย

การซื้อขายบิตคอยน์และค่าธรรมเนียมจากเงินตราแบบดิจิทัลบนเว็บไซต์ไปยังกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์.

การจ่ายค่าธรรมเนียมการซื้อขายเป็นทางเลือก[46] ผู้ขุดสามารถเลือกการซื้อขายที่จะดำเนินการ[46] และจัดความสำคัญให้การซื้อขายที่จ่ายค่าธรรมเนียมสูงกว่า ค่าธรรมเนียมถูกกำหนดบนฐานของขนาดที่เก็บของการซื้อขายที่เกิดขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนข้อมูลเข้าที่ถูกใช้สร้างการซื้อขาย นอกจากนี้ข้อมูลเข้าเก่าที่ยังไม่ถูกใช้ยังถูกให้ความสำคัญก่อน[7]: ch. 8 

การเป็นเจ้าของ

แบบจำลองลูกโซ่การเป็นเจ้าของ[4] ในความเป็นจริงแล้วการซื้อขายสามารถมีข้อมูลเข้าและข้อมูลออกมากกว่าหนึ่งจำนวน

บิตคอยน์ถูกลงชื่อบนที่อยู่บิตคอยน์ในบล็อกเชน การสร้างที่อยู่บิตคอยน์คือการสุ่มเลือกกุญแจส่วนตัวที่ใช้งานได้และคำนวณที่อยู่บิตคอยน์ที่สัมพันธ์กัน การคำนวณนี้สามารถกินเวลาเพียงเสี่ยววินาที ทว่าการทำกลับกัน (การคำนวณหากุญแจส่วนตัวจากที่อยู่บิตคอยน์) เป็นไปไม่ได้ทางคณิตศาสตร์ ดังนั้นผู้ใช้สามารถเผยแพร่ที่อยู่บิตคอยน์ให้เป็นสาธารณะได้โดยไม่ต้องกลัวว่ากุญแจส่วนตัวจะถูกเปิดเผย นอกจากนี้ จำนวนกุญแจส่วนตัวที่ใช้ได้มีจำนวนเยอะมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสุ่มแบบ brute force เจ้าของบิตคอยน์ต้องรู้กุญแจส่วนตัวและที่สัมพันธ์กับที่อยู่และเซ็นแบบดิจิทัลเพื่อให้บิตคอยน์ในการซื้อขาย ระบบตรวจสอบลายเซ็นโดยใช้กุญแจสาธารณะ[7]: ch. 5 

หากกุญแจสาธารณะหายไป ระบบบิตคอยน์จะไม่สามารถจำแนกหลักฐานความเป็นเจ้าของแบบอื่นได้[10] ทำให้เหรียญใช้ไม่ได้และสูญเสียมูลค่า ตัวอย่างเช่น ในพ.ศ. 2556 ผู้ใช้คนหนึ่งอ้างว่าเผลอทิ้งฮาร์ดดิสก์ที่มีกุญแจสาธารณะ ทำให้บิตคอยน์จำนวน 7,500 บิตคอยน์ ซึ่งในขณะนั้นมีมูลค่า 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 244 ล้านบาท) ได้หายไป[47] ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นหากเพียงเขาสำรองข้อมูลกุญแจไว้[48]

การขุด

กราฟแบบเซมิล็อกของความยากในการขุดสัมพัทธ์[c][45]

การขุด (mining) เป็นบริการบันทึกข้อมูลผ่านการใช้พลังในการคำนวณผล (processing power) ของคอมพิวเตอร์[d] ผู้ขุด (miner) ช่วยทำให้บล็อกเชนมีความสม่ำเสมอ สมบูรณ์ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ โดยการตรวจสอบซ้ำ ๆ และเก็บบันทึกการซื้อขายใหม่ที่ถูกเผยแพร่ไปยังกลุ่มการซื้อขายใหม่ที่เรียกว่าบล็อก[42] แต่ละบล็อกประกอบไปด้วยการเข้ารหัสแบบแฮช (cryptographic hash) หรือการเข้ารหัสทางเดียว ของบล็อกก่อนหน้า[42] โดยการใช้ขั้นตอนวิธีแฮช SHA-256[7]: ch. 7  ซึ่งเชื่อมต่อกับบล็อกก่อนหน้า[42] เป็นจุดกำเนิดของชื่อบล็อกเชน

บล็อกใหม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า การพิสูจน์งาน (Proof-of-work) จึงจะได้รับการยอมรับจากระบบ[42] การพิสูจน์งานต้องการให้ผู้ขุดหาตัวเลขที่เรียกว่า nonce ที่ให้ผลลัพธ์จำนวนน้อยกว่าเป้าหมายความยากของระบบเมื่อถูกเข้ารหัสแบบแฮชด้วย nounce[7]: ch. 8  การพิสูจน์นี้ง่ายที่จุดต่อใดก็ตามที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายจะทำการตรวจสอบ ทว่ากินเวลาอย่างมากหากจะสร้างขึ้นเอง ผู้ขุดต้องลองจำนวน nounce หลายจำนวนเพื่อบรรลุเป้าหมายความยาก โดยมักเริ่มทดสอบจากค่า 0, 1, 2, 3, ... ตามลำดับ[7]: ch. 8 

ทุก ๆ 2,016 บล็อก (ประมาณ 14 วัน หากใช้เวลา 10 นาทีต่อบล็อก) เป้าหมายความยากถูกปรับตามสมรรถนะใหม่ของระบบ โดยมีเป้าหมายที่จะคงเวลาเฉลี่ยระหว่างบล็อกใหม่ไว้ที่ 10 นาที วิธีนี้ทำให้ระบบปรับตัวเข้ากับพลังการขุดของเครือข่ายอย่างอัตโนมัติ[7]: ch. 8 

ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557 จนถึง 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 จำนวนเฉลี่ยนของ nounce ที่นักขุดต้องทดลองเพื่อสร้างบล็อกใหม่เพิ่มขึ้นจาก 16.4 × 1018 เป็น 200.5 × 1018[50]

ระบบการพิสูจน์งานคู่กับการต่อกันของบล็อกทำให้การเปลี่ยนแปลงของบล็อกเชนเป็นไปได้ยากมาก เพราะการที่ผู้โจมตีจะทำให้บล็อกหนึ่งได้รับการยอมรับ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบล็อกต่อมาที่เชื่อมกันทั้งหมด[51] เมื่อเวลาผ่านไปความยากในการเปลี่ยนแปลงบล็อกเพิ่มข้น ด้วยความที่บล็อกใหม่ถูกขุดตลอดเวลาทำให้จำนวนบล็อกที่ตามมาเพิ่มขึ้นไปด้วย[42]

จำนวน

จำนวนบิตคอยน์ทั้งหมดในระบบ[45]

ผู้ขุดที่หาบล็อกใหม่สำเร็จได้รับรางวัลเป็นบิตคอยน์ที่ถูกสร้างขึ้นและค่าธรรมเนียมการซื้อขาย[52] ณ วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559[53] รางวัลอยู่ที่จำนวน 12.5 บิตคอยน์ที่ถูกสร้างใหม่ต่อบล็อกที่ถูกเพิ่มไปยังบล็อกเชน เพื่อขอรับรางวัล การซื้อขายพิเศษที่เรียกว่า คอยน์เบส ถูกรวมเข้ากับการจ่ายที่ถูกดำเนินการ[7]: ch. 8  บิตคอยน์ที่มีอยู่ทั้งหมดถูกสร้างด้วยการซื้อขายแบบคอยน์เบสนี้

โพรโทคอลของบิตคอยน์ระบุว่ารางวัลสำหรับการเพิ่มบล็อกจะถูกลดเหลือครึ่งหนึ่งทุก ๆ 210,000 บล็อก (ประมาณทุก ๆ 4 ปี) จนในที่สุดรางวัลจะถูกลดลงเป็นศูนย์ โดยมีจำนวนสูงสุดอยู่ที่ 21 ล้านบิตคอยน์[e] ประมาณปีพ.ศ. 2683 จากนั้นรางวัลของการบันทึกจะเหลือเพียงค่าธรรมเนียมเท่านั้น[54]

กล่าวคือ นากาโมโตะ ผู้สร้างบิตคอยน์ ตั้งนโยบายการเงินบนฐานของความขาดแคลนประดิษฐ์ (artificial scarcity) และทำให้บิตคอยน์ถูกจำกัดอยู่ที่จำนวน 21 ล้านบิตคอยน์ตั้งแต่แรก จำนวนทั้งหมดจะถูกเผยทุก ๆ สิบนาทีและอัตราการสร้างจะลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ สี่ปีจนบิตคอยน์ทั้งหมดอยู่ในระบบ[55]

การใช้พลังงาน

เหมืองขุดบิตคอยน์ที่ประเทศไอซ์แลนด์

บิตคอยน์ถูกวิจารณ์ในแง่ของความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อขุด นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ประมาณว่า แม้นักขุดทุกคนจะใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ ก็ใช้ไฟประมาณ 166.7 เมกะวัตต์[56][57] ณ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 กิจกรรมการขุดบิตคอยน์ทั่วโลกถูกประมาณว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 3.4 จิกะวัตต์[58]

เพื่อลดค่าใช้จ่าย นักขุดบิตคอยน์สร้างเหมืองในพื้นที่เช่นประเทศไอซ์แลนด์ที่ใช้พลังงานความร้อนใต้พื้นพิภพซึ่งมีราคาถูก และอากาศเย็นแถบอาร์กติกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย[59] นักขุดชาวจีนยังใช้พลังงานน้ำในแถบเทศทิเบตเพื่อลดค่าไฟ[60]

บันทึก

อ้างอิง

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง