มันแกว

มันแกว
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Plantae
หมวด:Magnoliophyta
ชั้น:Magnoliopsida
อันดับ:Fabales
วงศ์:Fabaceae
วงศ์ย่อย:Faboideae
สกุล:Pachyrhizus
สปีชีส์:P.  erosus
ชื่อทวินาม
Pachyrhizus erosus
(L.) Urb.
ชื่อพ้อง
  • Dolichos erosus L. (1753)
  • Pachyrhizus angulatus Rich. ex DC. (1825)
  • P. bulbosus (L.) Kurz (1876)
มันแกว ดิบ
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน159 กิโลจูล (38 กิโลแคลอรี)
8.82 g
น้ำตาล1.8 g
ใยอาหาร4.9 g
0.09 g
0.72 g
วิตามิน
ไทอามีน (บี1)
(2%)
0.02 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(2%)
0.029 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(1%)
0.2 มก.
(3%)
0.135 มก.
วิตามินบี6
(3%)
0.042 มก.
โฟเลต (บี9)
(3%)
12 μg
คลอรีน
(3%)
13.6 มก.
วิตามินซี
(24%)
20.2 มก.
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(1%)
12 มก.
เหล็ก
(5%)
0.6 มก.
แมกนีเซียม
(3%)
12 มก.
แมงกานีส
(3%)
0.06 มก.
ฟอสฟอรัส
(3%)
18 มก.
โพแทสเซียม
(3%)
150 มก.
โซเดียม
(0%)
4 มก.
สังกะสี
(2%)
0.16 มก.

ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA FoodData Central

มันแกว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pachyrhizus erosus; อังกฤษ: Mexican turnip หรือ jicama หรือ yam bean) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีญาติใกล้ชิดคือถั่วเหลือง ลักษณะต้นมันแกวเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ขยายจากรากแก้ว โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยขอบจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน มันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว ชาวเม็กซิโกชอบรับประทานมันแกวตั้งแต่สมัยอารยธรรมมายาและแอซเต็ก นิยมใช้เป็นอาหารว่าง ใส่น้ำมะนาว พริกผง และเกลือ

ประวัติ

มันแกว (P. erosus) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก และแถบอเมริกากลาง[1] ทางใต้สุดที่คอสตาริกา[2] โดยพบหลักฐานการปลูกจากแหล่งโบราณคดีที่เปรูซึ่งมีอายุประมาณ 3,000ปี[3] และนำเข้าไปปลูกในประเทศแถบทวีปเอเชียโดยชาวสเปน[4] จากเส้นทางอะคาปุลโก-ฟิลิปปินส์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย อินเดีย และแอฟริกา ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่น ๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ "ถั่วกินหัว"

ชื่ออื่น

มันแกว มีชื่อสามัญอื่นเรียกในภาษาต่าง ๆ ได้แก่

ชื่อภาษาอินโดนีเซีย: bengkuang (ชื่อในภาษาชวา bengkowang; ภาษาซุนดา bangkuang)[5]

ชื่อภาษามลายู: sengkuwang, bengkuwang, mengkuwang

ชื่อภาษาตากาล็อก: singkamas (ซิงกามาส)

ชื่อภาษาเวียดนาม: cây củ đậu (ภาคเหนือ), sắn nước (ภาคใต้).

ชื่อภาษาลาว: ມັນເພົາ (มันเพา)

ชื่อภาษาอีสาน (ประเทศไทย) : มันเพา

ชื่อภาษาเขมร: ប៉ិគក់ (เบะ-โกก)

ชื่อภาษาพม่า: ပဲစိမ်းစားပင် (pell hcaim hcarr pain)

ชื่อภาษาจีน: 凉薯 (เหลียงสู) แปลตามตัวว่า มันเย็น, 豆薯 (จีนภาคเหนือ หูหนาน - โต้วสู ถั่วกินหัว หรือ ถั่วหัวมัน), 番葛 (หมิ่นหนาน - ฟานเก๋อ), 沙葛 (กว่างตุ้ง - ซากอต), 芒光 (แต้จิ๋ว - หมังกวง เรียกทับศัพท์ตามภาษามลายู)

อนุกรมวิธานและการกระจายพันธุ์

มันแกว (Pachyrhizus erosus) เป็นพืช 1 ในอย่างน้อย 4-5 ชนิดของสกุลมันแกว[6] (Pachyrhizus) คือ

  • มันแกว หรือ มันแกวเม็กซิโก (Pachyrhizus erosus) — พืชพื้นเมืองอเมริกากลาง เป็นชนิดพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทย ซึ่งสันนิษฐานว่าผ่านทางฟิลิปปินส์โดยชาวสเปน และนำเข้ามายังจีนใต้และอินโดจีน และสู่ประเทศไทย
  • มันแกวแอมะซอน (Amazonnian yam bean) หรือ jiquima, หรือ jacatupe (Pachyrhizus tuberosus) — มีความหลากหลายของสายพันธุ์ถึง 11 ชนิดย่อยตามแหล่งเพาะปลูกในเขตร้อนในเขตที่ราบลุ่มต้นน้ำแอมะซอนในเปรูและเอกวาดอร์ แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ Jíquima (เอกวาดอร์ชายฝั่งทะเล), Ashipa (กระจายทั่วไปในที่ลุ่มน้ำแอมะซอนตะวันตก), Chuin (ตลอดเส้นทางแม่น้ำเปรู), Yushpe (ปลูกเฉพาะในท้องถิ่นของเปรู)[7] อาจพบในบางส่วนของบราซิล, โคลัมเบีย และเวเนซุเอลา
  • มันแกวแอนดีส หรือ ahipa หรือ ajipa (Pachyrhizus ahipa) — พบในภูมิภาคที่ราบสูงโบลิเวียทางตะวันตกของอเมริกาใต้ ในเขตเทือกเขาแอนดีสของโบลิเวีย, เปรู และเอกวาดอร์ เป็นพันธุ์ที่คล้ายกับมันแกว (Pachyrhizus erosus) มากที่สุด
  • และอีก 2 พันธุ์ที่เป็นพืชป่า คือ Pachyrhizus ferrugineus (Piper) Sørensen และ Pachyrhizus panamensis Clausen (Sørensen 1988)[7]

มันแกวแอฟริกา (African yam bean, Sphenostylis stenocarpa) — มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก และเพาะปลูกในแอฟริกาตอนใต้และตะวันออก เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีหัว ถูกเรียกว่ามันแกว (ถั่วกินหัว) จากลักษณะรากที่มีหัว แต่ไม่นับเป็นสกุลมันแกว เนื่องจากแตกออกหลายหัวคล้ายมันเทศ หัวยาวและเนื้อในสีขาว (ต่างจากมันเทศ)[8] บางครั้งหัวบิดงอพับหรือมีผิวย่น ผิวสีน้ำตาลคล้ำ มีใบขนนก 3 ใบย่อยแต่ขอบใบเรียบ มีฝักเมล็ดยาวกว่าคล้ายถั่วฝักยาว[9] เมล็ดกลมแป้น[10] มีมากกว่า 4 สีขี้นไปตามสายพันธุ์ย่อย[11]

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

มันแกว (P. erosus) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีเถาเลื้อยพัน รากเป็นระบบรากแก้ว ซึ่งสะสมอาหารแล้วขยายตัวออกเป็นหัวใต้ดิน ทรงกลมแป้น อวบน้ำ เปลือกหัวบาง ผิวเรียบ[12] หัวเดี่ยว มีรูปร่างไม่แน่นอน[13] อาจมีพูนูนรอบ ๆ [14][15] เถาของมันแกว สามารถสูงได้ถึง 4-5 เมตร และอาจยาวได้ 20 ม. หากได้รับการค้ำหรือการยึดเกาะที่เหมาะสม รากมีความยาวได้ถึง 2 ม. และรากรวมหัวหนักได้ถึง 20 กก. (ขนาดหัว 10-15 ซม.)[6] หนักที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้คือ 23 กก. พบในปี 2010 ที่ฟิลิปปินส์[ต้องการอ้างอิง] (ซึ่งเรียกว่า ซิงกามาส)

ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ขอบใบจักใหญ่ ดอกช่อกระจะ ออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน สีขาว หรือชมพู รูปทรงดอกถั่วทั่วไป ยาว 1.5-2 ซม.[15] ผลเป็นฝัก รูปขอบขนาน แบน มีขนเล็กน้อย ฝักอ่อนจะมีสีเขียว และสีเขียวแก่ สีน้ำตาล จนถึงสีดำเมื่อแก่ ยาวประมาณ 7-13 ซม. กว้าง 1.2-1.5 ซม.[15] ฝักเมล็ดมี 4-9 เมล็ด มีลักษณะรูปสี่เหลี่ยม กว้าง-ยาวประมาณ 6-9 มม. สีเหลืองหรือออกแดง เป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ เมล็ดแก่มีพิษ[12][15]

การเพาะพันธุ์

พื้นที่ที่เหมาะกับการปลูกมันแกว มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 23-28 องศาเซลเซียส และมีฝนเฉลี่ย 400-1200 มิลลิเมตรต่อปี[16] มันแกวเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนปนทราย ดินทราย[17] ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,700 ม.

ปัจจุบันพบมีการปลูกเกือบทั่วประเทศไทย มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาสารคาม ขอนแก่น หนองคาย นครพนม ส่วนภาคอื่นมีปลูกน้อย[17] มันแกวเป็นพืชใช้น้ำน้อย ในประเทศไทยชาวอีสานนิยมปลูกเป็นพืชเสริมรายได้หลังหมดฤดูทำนา ในช่วงฤดูแล้งเดือนพฤศจิกายน ใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน[12] ปลูกโดยการหยอดเมล็ดเหมือนการปลูกถั่วทั่วไป[14]

การปลูกในทวีปอเมริกา มันแกวอ่อนไหวต่อความเย็นจัด และต้องใช้เวลาปลูกในเชิงพาณิชย์อย่างน้อย 5 - 9 เดือนโดยไม่มีน้ำค้างแข็ง เพื่อการเก็บเกี่ยวหัวขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฤดูปลูกสั้น (พื้นที่ที่มีฤดูหนาวนานกว่า 3 เดือน) เว้นแต่จะเพาะเลี้ยงในเรือนกระจก การปลูกในพื้นที่เขตร้อนสามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และในพื้นที่กึ่งเขตร้อนควรหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อดินอุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ

การผลิตเชิงพาณิชย์

ในประเทศเม็กซิโก มีพื้นที่ปลูกมันแกวประมาณ 65,000 ไร่ 2.3-6.9 ตันต่อไร่ (15-45 ตันต่อเฮกตาร์)[18]

ในประเทศไทย บางพื้นที่สามารถปลูกมันแกวได้ 3 รุ่นต่อปี รุ่นแรกปลูกช่วงต้นฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 10 ตัน รุ่นที่ 2 ปลูกช่วงปลายฤดูฝนระหว่างเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม จะได้ผลผลิต 5-6 ตัน ต่อไร่ และรุ่นที่ 3 ปลูกช่วงฤดูแล้ง ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 4-5 ตัน ต่อไร่ มันแกวจะใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน[12][19][20] และในปี 2556 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันแกวในทุกภาค ทั้งหมด 8,708 ไร่ ผลผลิต 16,876 ตัน[20]

การปลูกโดยทั่วไป หัวมันแกวมีน้ำหนักประมาณ 0.5-2.5 กก. ต่อหัว[6]

การใช้ประโยชน์

ในการปรุงอาหาร

ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายผลสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสด หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิมกรอบ (ใช้แทนแห้ว)

ในการกำจัดแมลง

แต่ในทางกลับกัน มันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษโรติโนน (rotenone) จะรบกวนระบบหายใจ อาจชัก และอาจเสียชีวิตได้

คุณค่าทางอาหาร

คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% โดยรสหวานนั้นมาจากโอลิโกฟลุคโตส (oligofructose หรือ fructo-oligosaccharides) ซึ่งเป็นอินูลิน ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงอาจเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก และเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี

ควรเก็บมันแกวในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน

สารสำคัญในมันแกว

เมล็ด เมื่อผ่าออกจะมีเนื้อภายในสีเหลือง สารสำคัญประกอบด้วยสารพิษในกลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์ (isoflavonoid) ได้แก่ erosin, pachyrrhizone, pachyrrhizin, โรติโนน (rotenone) และสารเคมีอื่นๆ ได้แก่ 12-(A)- hydroxypachyrrhizone, 12-(A)-hydroxy lineonone, 12-(A)-hydroxymundu- serone, dolineone, erosone, dehydropachyrrhizone, erosenone, neodehydrorotenone, ซาโพนิน (saponins A และ B) เป็นพิษทำให้ปลาตายได้[15][21]

ระเบียงภาพ

แหล่งข้อมูลอื่น

อ้างอิง

  • Mr. Pug, ผลไม้ไทยอร่อยได้ทุกฤดู, นิตยสารแม่บ้าน ปีที่ 31 ฉบับที่ 450, พฤศจิกายน 2549, หน้า 31
🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง