สิงคโปร์แอร์ไลน์
สิงคโปร์แอร์ไลน์ (อังกฤษ: Singapore Airlines (ย่อ: SIA); มลายู: Syarikat Penerbangan Singapura; จีน: 新加坡航空公司; พินอิน: Xīnjiāpō Hángkōng Gōngsī, ย่อว่า 新航; ทมิฬ: சிங்கப்பூர் ஏர்லைன்சு) เป็นสายการบินประจำชาติและสายการบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ โดยมีฐานการบินหลักที่ท่าอากาศยานชางงีสิงคโปร์ สายการบินให้บริเที่ยวบินสู่จุดหมายปลายทางกว่า 75 แห่งทั่วโลก โดยจัดว่ามีความแข็งแกร่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และเส้นทางจิงโจ้ (เส้นทางบินระหว่างประเทศในทวีปออสเตรเลียกับสหราชอาณาจักรโดยผ่านซีกโลกตะวันออก) นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงเที่ยวบินตรงเชิงพาณิชย์ที่ใช้เวลาบินนานที่สุดในโลกสองเส้นทาง คือ จากสิงคโปร์ไปนูวร์ก และนครนิวยอร์ก ด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ350-900ULR[2][3]
| |||||||
ก่อตั้ง | 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 (78 ปี) (ในชื่อมาลายันแอร์เวย์) | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เริ่มดำเนินงาน | 1 ตุลาคม ค.ศ. 1972 (51 ปี) (ในชื่อสิงคโปร์แอร์ไลน์) | ||||||
ท่าหลัก | สิงคโปร์ | ||||||
สะสมไมล์ |
| ||||||
พันธมิตรการบิน | สตาร์อัลไลแอนซ์ | ||||||
บริษัทลูก |
| ||||||
ขนาดฝูงบิน | 154 | ||||||
จุดหมาย | 75 | ||||||
บริษัทแม่ | เทมาเส็กโฮลดิงส์ (55%)[1] | ||||||
การซื้อขาย | SGX: C6L | ||||||
สำนักงานใหญ่ | สิงคโปร์ | ||||||
บุคลากรหลัก |
| ||||||
รายได้ | 17.77 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ค.ศ. 2023) | ||||||
รายได้จากการดำเนินงาน | 2.69 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ค.ศ. 2023) | ||||||
รายได้สุทธิ | 2.16 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ค.ศ. 2023) | ||||||
สินทรัพย์ | 49.10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ค.ศ. 2023) | ||||||
ส่วนของผู้ถือหุ้น | 19.86 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ค.ศ. 2023) | ||||||
พนักงาน | 14,803 คน (ค.ศ. 2023) | ||||||
เว็บไซต์ | singaporeair.com |
สิงคโปร์แอร์ไลน์เป็นสายบินแรกที่สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ380 และนอกจากกิจการสายการบินแล้ว ยังขยายกิจการไปยังธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสายการบิน เช่น การจัดการและวิศวกรรมอากาศยาน มีสายการบินซิลค์แอร์เป็นบริษัทสาขาที่สิงคโปร์แอร์ไลน์เป็นเจ้าของทั้งหมด ให้บริการเที่ยวบินภายในภูมิภาคไปยังเมืองที่มีความสำคัญระดับรองและมีผู้โดยสารน้อยกว่า และยังมีสิงคโปร์แอร์ไลน์คาร์โกเป็นบริษัทสาขาที่ดำเนินการบินฝูงบินขนส่งสินค้าและจัดการขนส่งและจัดเก็บสัมภาระบนเครื่องบินโดยสาร สิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้นในสายการบินเวอร์จินแอตแลนติกอยู่ 49% และลงทุนในสายการบินไทเกอร์แอร์ไลน์เป็นส่วนปันผล 49% เพื่อรับมือการแข่งขันจากสายการบินต้นทุนต่ำ สิงคโปร์แอร์ไลน์จัดว่าเป็นสายการบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากเป็นอันดับที่ 11 ในเอเชีย และมีผู้โดยสารระหว่างประเทศมากเป็นอันดับ 6 ของโลก[4]
สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์จูนให้อยู่ในอันดับที่ 27 ในหมวดหมู่บริษัทที่เป็นที่ยกย่องชมเชยมากที่สุดในโลกประจำ พ.ศ. 2553[5][6] และได้สร้างตราบริษัทที่แข็งแกร่ง[7]ในฐานะผู้สร้างปรากฏการณ์[8]ในอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะความเป็นเลิศในด้านนวัตกรรม ความปลอดภัย และบริการ[9] ที่เชื่อมโยงเข้ากับความได้เปรียบทางธุรกิจอย่างมั่นคง[10] นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลมากมาย[11]และเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมในด้านการจัดซื้ออากาศยาน[12] มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Airport House ใกล้กับท่าอากาศยานจางีในย่านจางีในสิงคโปร์[13]
ประวัติ
จุดเริ่มต้น
สิงคโปร์แอร์ไลน์เริ่มต้นด้วยการก่อตั้งสายการบินมาลายันแอร์เวย์ (MAL) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2480 ซึ่งเกิดจากการรวมตัวระหว่าง Ocean Steamship Company of Liverpool, the Straits Steamship Company of Singapore และอิมพีเรียลแอร์เวย์ เที่ยวบินแรกของสายการบินเป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากนิคมช่องแคบในสิงคโปร์ไปยังกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2490 ด้วยเครื่องบิน Airspeed Consul สองเครื่องยนต์[14] ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินปกติตามตารางเวลาจากสิงคโปร์ไปกัวลาลัมเปอร์ อิโปห์ และปีนัง สัปดาห์ละครั้ง ด้วยเครื่องบินแบบเดียวกับเที่ยวบินแรก[15] ต่อมาใน พ.ศ. 2498 มลายาแอร์เวย์ได้เริ่มนำเครื่องบิน ดักลาส ดีซี 3 หลายลำเข้ามาเพิ่มในฝูงบิน และนำมาให้บริการใน พ.ศ. 2500 อากาศยานอื่นๆ ที่ใช้งานในช่วงสองทศวรรษแรกได้แก่ ดักลาส ดีซี 4 สกายมาสเตอร์, Vickers Viscount, Lockheed L-1049 Super Constellation, Bristol Britannia, de Havilland Comet 4 และ Fokker F27
เมื่อ พ.ศ. 2506 มลายา สิงคโปร์ ซาบะฮ์ และซาราวัก ได้รวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐมาเลเซีย ทำให้ชื่อของสายการบินถูกเปลี่ยนจาก "มลายันแอร์เวย์" เป็น "มาเลเซียแอร์เวย์" แล้วได้ควบกิจการของสายการบินบอร์เนียวแอร์เวย์เข้ามา ต่อมาใน พ.ศ. 2509 สิงคโปร์ได้แยกตัวออกจากสหพันธรัฐ ชื่อของสายการบินจึงถูกเปลี่ยนอีกครั้งเป็นมาเลเซีย-สิงคโปร์แอร์ไลน์ (MSA) ปีต่อมาสายการบินได้ขยายตัวมากขึ้นทั้งในด้านฝูงบินและเส้นทางบิน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิง 707 ซึ่งเป็นอากาศยานของโบอิงลำแรกของสายการบิน และการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในสิงคโปร์ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้สั่งซื้อเครื่องบินโบอิง 737 เข้ามาเพิ่มในฝูงบินอีก
การก่อตั้งบริษัทและการเติบโต
ใน พ.ศ. 2515 สายการบินมาเลเซีย-สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ยกเลิกการบินเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่งผลให้สายการบินแยกออกเป็นสองบริษัท คือ สิงคโปร์แอร์ไลน์ และมาเลเซียแอร์ไลน์[16][17][18] ซึ่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ยังคงใช้และให้บริการสิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นของมาเลเซีย-สิงคโปร์แอร์ไลน์ ได้แก่ เครื่องบินโบอิง 707 และ 737 รวม 10 ลำ เส้นทางระหว่างประเทศที่ออกจากสิงคโปร์ รวมถึงสำนักงานในสิงคโปร์ ซึ่งมี เจ. วาย. ปิลไล อดีตผู้บริหารร่วมของมาเลเซีย-สิงคโปร์แอร์ไลน์ เป็นประธานคนแรกของสิงคโปร์แอร์ไลน์ พนักงานต้อนรับหญิงยังคงสวมเครื่องแบบ โสร่ง เกอบายา ที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2511
ในช่วงทศวรรษที่ 1970s สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการเพิ่มเส้นทางบินไปยังเมืองในอนุทวีปอินเดียและเอเชีย และการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิง 747 เพิ่มเข้ามาในฝูงบิน Mr Yong Nyuk Lin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารในขณะนั้น ได้กล่าวในพิธีต้อนรับเครื่องบินโบอิง 747 สองลำแรกของสายการบิน ที่ท่าอากาศยานปายาเลบาร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2516 เวลา 16.00 น. ไว้ว่า
ในช่วงทศวรรษที่ 1980s สิงคโปร์แอร์ไลน์เริ่มเปิดเส้นทางบินไปยังเมืองในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป โดยมีมาดริดเป็นเมืองแรกในลาตินอเมริกา-สเปนที่สายการบินเปิดเส้นทางบิน ต่อมาใน พ.ศ. 2532 สายการบินได้สั่งซื้อเครื่องบินโบอิง 747-400 เพิ่มเติม และตั้งชื่อว่า Megatops ตามมาด้วยเครื่องบินโบอิง 777 แอร์บัส เอ 310 และแอร์บัส เอ 340 และในทศวรรษที่ 1990s ได้เปิดเส้นทางบินไปยังแอฟริกาตอนใต้ โดยมีโยฮันเนสเบิร์กในแอฟริกาใต้เป็นเมืองแรก ตามมาด้วยเคปทาวน์และเดอร์บัน
Modern History
เมื่อ พ.ศ. 2547 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้เปิดเส้นทางบินตรงข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากสิงคโปร์ไปยังลอสแอนเจลิสและนูอาร์ก โดยใช้เครื่องบินแอร์บัส เอ 340-500 ซึ่งเป็นการบินตรงระหว่างสิงคโปร์กับสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก และเส้นทางระหว่างสิงคโปร์กับนูอาร์กยังได้รับการบันทึกไว้ว่าใช้เวลาบินมากที่สุดในบรรดาเส้นทางบินเชิงพาณิชย์ทั่วโลก โดยใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมง นอกจากนี้สายการบินยังได้ปรับเปลี่ยนผังที่นั่งบนเครื่องบินแอร์บัส เอ 340-500 จำนวนห้าลำที่ใช้บินไปยังลอสแอนเจลิสและนูอาร์ก จากเดิมที่เป็นชั้นธุรกิจ 64 ที่นั่งและชั้นประหยัดพิเศษ 117 ที่นั่ง ให้เป็นชั้นธุรกิจทั้งสิ้น 100 ที่นั่ง[20]
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 รัฐบาลออสเตรเลียได้ตัดสินใจไม่อนุญาตให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ทำการบินระหว่างออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาก่อนบินกลับหรือหลังบินออกจากสิงคโปร์[21] ซึ่งทางสายการบินได้โต้กลับว่าการตัดสินใจครั้งนี้สืบเนื่องจากเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากออสเตรเลียประสบปัญหาผู้โดยสารน้อย ทำให้รัฐบาลพยายามจำกัดการแข่งขันและตั้งค่าโดยสารไว้ค่อนข้างสูง[21] โดยอ้างว่าเป็นมาตรการคุ้มครองสายการบินแคนตัสจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น[22] ทั้งนี้สิงคโปร์แอร์ไลน์เคยเผชิญกับมาตรการคุ้มครองลักษณะนี้มาก่อนเมื่อครั้งมีการร้องทุกข์จากสายการบินแอร์แคนาดา จนทำให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ถูกระงับเส้นทางบินไปยังโตรอนโต และเคยถูกเพิกถอนสิทธิการใช้เครื่องบินโบอิง 747-400 บินไปยังจาการ์ตาอันเนื่องมาจากการประท้วงของสายการบินการูดาอินโดนีเซียที่ไม่สามารถแข่งขันด้วยเครื่องบินรุ่นเดียวกันนี้ได้[23]
แอร์บัส เอ 380
เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 3XX (ชื่อเรียกของ เอ 380 ในขณะนั้น) จำนวน 25 ลำ มูลค่ารวม 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วยเครื่องบินที่สั่งซื้อขาด 10 ลำ และสั่งจองล่วงหน้า 15 ลำ[24] สายการบินได้ยืนยันคำสั่งซื้อในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 สายการบินได้เปิดตัวคำขวัญ "First to Fly the A380 - Experience the Difference in 2006" เพื่อประชาสัมพันธ์ในการเป็นสายการบินแรกที่สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบเครื่องบินภายในไตรมาสที่สองใน พ.ศ. 2549[25] แต่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 แอร์บัสได้ประกาศว่าเกิดปัญหาทางเทคนิคโดยไม่คาดคิด ทำให้การส่งมอบเบื้องต้นต้องถูกเลื่อนออกไปอีกหกเดือน[26]เป็นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ทำให้ Chew Choon Seng ประธานบริหารของสิงคโปร์แอร์ไลน์แถลงว่าอาจฟ้องร้องแอร์บัส โดยกล่าวว่า
Chew Choon Seng ยังได้กล่าวอีกว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์จะหันไปให้ความสำคัญต่อโบอิงแทน เนื่องจากได้รับส่งมอบเครื่องบินโบอิง 777-300ER ก่อนเอ 380 แต่อย่างไรก็ตาม สายการบินได้ส่งสัญญาณว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลต่อนโยบายส่งเสริมการตลาด
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เครื่องบินแอร์บัสเอ 380 ลำแรกที่ลงลวดลายของสิงคโปร์แอร์ไลน์เรียบร้อยแล้วได้มาถึงสิงคโปร์ แล้วถูกนำไปแสดงในงาน Asian Aerospace 2006 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ในปีเดียวกัน สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้สั่งซื้อเครื่องบินโบอิง 787 เพื่อการขยายตัวของฝูงบินในอนาคต คำสั่งซื้อประกอบด้วยโบอิง 787-9 จำนวน 20 ลำ และสั่งจองอีก 20 ลำ คำสั่งซื้อนี้ออกหนึ่งวันหลังจากแอร์บัสประกาศเลื่อนการส่งมอบเอ 380 ออกไปอีก 6 เดือน
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แอร์บัสประกาศเลื่อนการส่งมอบเป็นครั้งที่สาม ทำให้กำหนดส่งมอบเอ 380 ลำแรกเลื่อนออกไปเป็นเดือนตุลาคมในปีถัดไป[28]
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เที่ยวบินพาณิชย์เที่ยวแรกที่ใช้เครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เที่ยวบิน SQ 380[29] พาผู้โดยสาร 455 คนออกจากสิงคโปร์ไปยังซิดนีย์ ถึงท่าอากาศยานซิดนีย์เวลา 15:24 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีสื่อมากมายไปทำข่าวเกี่ยวกับเที่ยวบินแรกนี้[30] วันต่อมาสายการบินมอบรายได้ทั้งหมดจากเที่ยวบินนี้ให้แก่องค์กรการกุศลสามแห่ง สิงคโปร์แอร์ไลน์เริ่มใช้งานเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ตามตารางเที่ยวบินจริงในวันที่ 28 ตุลาคม ปีเดียวกัน
ปัจจุบันเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ใช้ในเส้นทางบินไปยังซิดนีย์ โตเกียว ปารีส ฮ่องกง เมลเบิร์น และซูริก วันละหนึ่งเที่ยวบิน และไปลอนดอนวันละสองเที่ยวบิน
สิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดเที่ยวบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 วันละสามเที่ยวบินเป็นการชั่วคราวระหว่างสิงคโปร์และลอนดอน ตั้งแต่วันที่ 23-28 เมษายน พ.ศ. 2553 เพื่อระบายผู้โดยสารที่ตกค้างก่อนหน้าไม่กี่วันเนื่องจากเหตุภูเขาไฟ เอย์ยาฟิยัตลาเยอคึตซ์ ปะทุ
การลดขนาดฝูงบิน
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 สายการบินได้ประกาศระงับการใช้งานอากาศยาน 17 ลำในระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 เพื่อลดค่าใช้จ่ายเพื่อรับมือกับปัญหาจำนวนผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าลดลง โดยแรกเริ่มนั้นได้วางแผนว่าจะระงับการใช้งานเพียงสี่ลำ และสายการบินได้แถลงว่าจำเป็นต้องเลื่อนการส่งมอบอากาศยานที่จัดซื้อแล้วออกไปก่อน[31][32]
การควบรวมกิจการของซิลค์แอร์
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 สิงคโปร์แอร์ไลน์ประกาศว่าฝูงบินซิลค์แอร์จะได้รับการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ห้องโดยสารครั้งใหญ่จากปี 2020 ก่อนที่จะรวมเข้ากับบริษัทแม่โดยสมบูรณ์[33][34][35] ส่วนหนึ่งของการควบรวมกิจการ เว็บไซต์ของซิลค์แอร์ถูกยกเลิกและรวมเข้ากับเว็บไซต์ของสิงคโปร์แอร์ไลน์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2019[36] การอัพเกรดห้องโดยสารคาดว่าจะเริ่มในปีค.ศ. 2020[37][38]
การจัดการบริษัท
โครงสร้าง
โครงสร้างของสิงคโปร์แอร์ไลน์แบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งรวมถึง Aircraft ground handling การเช่าอากาศยาน Air catering และ Tour operating และยังปรับโครงสร้างโดยแยกหน่วยปฏิบัติการออกเป็นบริษัทสาขาต่างๆ ที่สายการบินเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวเพื่อรักษาความเป็นสายการบินสำหรับผู้โดยสารอันเป็นธุรกิจหลักไว้ ตามข้อมูลปีการเงินเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มบริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์ประกอบด้วยบริษัทสาขา 25 แห่ง บริษัทในเครือ 32 แห่ง และบริษัทร่วมทุนสองแห่ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2549 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ขายหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในร้อยละ 35.5 ในบริษัทร่วมทุน Singapore Aircraft Leasing Enterprise ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศจีนในราคา 980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[39]
บริษัทหลักในกลุ่มบรรษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้แก่
บริษัท | ประเภท | กิจกรรมหลัก | สถานที่ก่อตั้ง | การถือหุ้นของกลุ่มบรรษัท (31 มีนาคม พ.ศ. 2550) |
---|---|---|---|---|
International Engine Component Overhaul Private Limited | ร่วมทุน | Aircraft overhaul | สิงคโปร์ | 41% |
SIA Engineering Company Limited | สาขา | วิศวกรรม | สิงคโปร์ | 81.9% |
SilkAir (Singapore) Private Limited | สาขา | สายการบิน | สิงคโปร์ | 100% |
Singapore Aero Engine Services Private Limited | ร่วมทุน | Engine overhaul | สิงคโปร์ | 41% |
Singapore Airlines Cargo Private Limited | สาขา | สายการบินขนส่งสินค้า | สิงคโปร์ | 100% |
Singapore Airport Terminal Services Limited | สาขา | บริษัทถือหุ้นใหญ่ | สิงคโปร์ | 81.9% |
Singapore Flying College Private Limited | สาขา | สถาบันฝึกอบรมการบิน | สิงคโปร์ | 100% |
TajSATS Air Catering | ร่วมทุน | Catering | อินเดีย | 50% |
Tiger Airways Holdings Limited | ในเครือ | บริษัทถือหุ้นใหญ่ | สิงคโปร์ | 34.4% |
เวอร์จินแอตแลนติกแอร์เวย์จำกัด | ในเครือ | บริษัทถือหุ้นใหญ่ | สหราชอาณาจักร | 49% |
การลงทุนเชิงปฏิบัติการ
สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ลงทุนในสายการบินอื่นๆ เพื่อขยายตลาดออกไปนอกสิงคโปร์ แม้ว่าผลทางการเงินมักจะเป็นไปในทางลบ เมื่อ พ.ศ. 2532 ได้ร่วมมือกับเดลต้าแอร์ไลน์และสวิสแอร์เป็นพันธมิตรไตรภาคี[40] แต่ก็ยุติความร่วมมือใน พ.ศ. 2542 หลังจากแต่ละสายการบินถอนหุ้นร้อยละ 5 ที่ลงทุนในอีกสองสายการบินออกไป ปีถัดมาสิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ซื้อหุ้นร้อยละ 25 ในสายการบินแอร์นิวซีแลนด์ แต่ต่อมารัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ซื้อหุ้นในแอร์นิวซีแลนด์เพื่อช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการล้มละลาย ทำให้หุ้นที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ถือลดลงเหลือร้อยละ 4.5 ซึ่งต่อมาหุ้นจำนวนนี้ถูกขายในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2543 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ซื้อหุ้นร้อยละ 49 ในสายการบินเวอร์จินแอตแลนติกแอร์เวย์ด้วยเงินสด มูลค่า 600 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง[41] โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีผลกำไรดี แต่ใน พ.ศ. 2550 ก็มีรายงานเกี่ยวกับความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวและมีความเป็นไปได้ที่จะถอนหุ้น[42] จนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ประกาศเสนอขายหุ้นในเวอร์จินแอตแลนติกอย่างเป็นทางการ และยอมรับอย่างเปิดเผยว่าหุ้นที่ถืออยู่ในสายการบินดังกล่าวนั้นให้ตอบแทนน้อยกว่าที่คาดไว้[43] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้เข้าสู่ตลาดสายการบินต้นทุนต่ำโดยก่อตั้งสายการบินไทเกอร์แอร์เวย์ ซึ่งสิงคโปร์แอร์ไลน์ถือหุ้นร้อยละ 49 และมีผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้แก่
- Indigo Partners LLC บริษัทด้านการลงทุนที่ก่อตั้งโดย Bill Franke (ร้อยละ 24)
- Irelandia Investments Limited บริษัทด้านการลงทุนของ Tony Ryan และครอบครัว (ร้อยละ 16)
- Temasek Holdings Pte Ltd (ร้อยละ 11)
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ไทเกอร์แอร์เวย์ได้จดทะเบียนใน Singapore Exchange ทำให้หุ้นที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ถืออยู่ลดลงเหลือร้อยละ 34.4
แรงงาน
เมื่อสิ้นปีงบประมาณในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มบรรษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์ว่าจ้างพนักงานทั้งหมด 29,457 คน[44] โดยสายการบินแม่ว่าจ้าง 13,942 คน (ร้อยละ 47.3) แบ่งออกเป็นนักบิน 2,174 คน และลูกเรือ 6,914 คน มีสหภาพแรงงานห้าองค์กรเป็นตัวแทนลูกจ้างของกลุ่มบรรษัท ได้แก่
- Singapore Airlines Staff Union (SIASU)
- SIA Engineering Company Engineers and Executives Union (SEEU)
- Singapore Airport Terminal Services Workers' Union (SATSWU)
- Air Transport Executives Staff Union (AESU)
- Air Line Pilots' Association Singapore (ALPA-S)
สหภาพแรงงานและผู้บริหารขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะหลังการลดค่าจ้าง การยุบตำแหน่ง และการเกษียณก่อนอายุอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาและหลังสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก อย่างเช่นการระบาดของโรคซาร์สเมื่อ พ.ศ. 2546[45] ซึ่งส่งผลต่อกำลังใจของพนักงาน เฉพาะเพียง ALPA-S ก็ขัดแย้งกับกับผู้บริหารไม่น้อยกว่า 24 ครั้งนับตั้งแต่เริ่มจดทะเบียนเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2524 (ก่อตั้งหลังจากที่ Singapore Airlines Pilots Association ที่เป็นสหภาพก่อนหน้า มีสมาชิก 15 คนถูกกล่าวหาและตัดสินว่ามีความผิดฐานริเริ่มกิจกรรมทางอุตสาหกรรมที่ผิดกฎหมายใน พ.ศ. 2523 ซึ่งเริ่มเกิดความขัดแย้งกับผู้บริหาร และ SIAPA ถูกถอนทะเบียนในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524) จนกระทั่งวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 กระทรวงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (สิงคโปร์) ได้แก้ไข Trade Unions Act เพื่อลบล้างข้อกำหนดในธรรมนูญของ ALPA-S ที่กำหนดให้สมาชิกทั่วไปต้องให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการก่อนตกลงในการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหาร[46] ใน พ.ศ. 2550 สายการบินเป็นข่าวดังอีกครั้งเมื่อ ALPA-S ไม่ยอมรับอัตราเงินเดือนที่ผู้บริหารเสนอให้นักบินเครื่องบินแอร์บัส เอ 380[47] ข้อพิพาทถูกนำขึ้นให้อนุญาโตตุลาการตัดสิน[48] ขอบเขตเงินเดือนของนักบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนตั้งแต่วันแรกที่นั่งพิจารณาข้อพิพาท และสื่อได้ตั้งข้อสังเกตว่านักบินของสายการบินจำนวน 935 คนที่ขับเครื่องบินโบอิง 777 ได้รับเงินเดือน (มากกว่า S$270,000) ที่จุดกึ่งกลางของขั้นเงินเดือนสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรองประธานบริษัท (S$233,270)[49]
ความขัดแย้งต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสหภาพเช่นกัน โดยรัฐบาลจะเข้าแทรกแซงเมื่อเกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 เกิดความขัดแย้งภายใน ALPA-S จนนำไปสู่การขับไล่สมาชิกระดับกรรมการบริหารทั้งคณะจำนวน 22 คน เหตุการณ์ดังกล่าวถูกสันนิษฐานว่าเป็น "การเมืองภายใน" ที่เกี่ยวข้องกับอดีตนักบิน รวมถึงผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับกรณีการถอนทะเบียน SIAPA[50] และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 Lim Swee Say เลขาธิการ NTUC ได้แถลงคัดค้านการฟ้องร้องทางกฎหมายโดยสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายใน SIASU[51]
ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2550 กลุ่มบรรษัทและสหภาพได้ร่วมกันเปิดตัว "Singapore Airlines Group Union-Management Partnership" และ Labour Movement 2011 (LM2011) เพื่อกระชับความสัมพันธ์ โดยข้อสัญญาทั้งสองนั้นเป็นไปเพื่อสร้าง "pro-worker" และ "pro-business"[52] ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 Stephen Lee ประธานสายการบิน ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและสหภาพว่า "มั่นคงและอบอุ่น" ในช่วงสองปีหลัง โดยมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่ดีขึ้น Lee ได้กล่าวเป็นนัยว่า บุคคลในรัฐบาลหลายคน ซึ่งรวมถึง Minister Mentor Lee Kuan Yew ได้เข้าแทรกแซงเพื่อช่วยบรรเทาความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารและสหภาพ และทั้งสองฝ่ายได้ประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ่อยมากขึ้น[53]
ผลประกอบการ
สิ้นปีงบประมาณ | รายได้ (S$m) | รายจ่าย (S$m) | Operating profit (S$m) | Profit before taxation (S$m) | Profit attributable to equity holders (S$m) | EPS after tax – diluted (cents) |
---|---|---|---|---|---|---|
31 มีนาคม 2542 | 7,795.9 | 6,941.5 | 854.4 | 1,116.8 | 1,033.2 | 80.6 |
31 มีนาคม 2543 | 9,018.8 | 7,850.0 | 1,168.8 | 1,463.9 | 1,163.8 | 91.4 |
31 มีนาคม 2544 | 9,951.3 | 8,604.6 | 1,346.7 | 1,904.7 | 1,549.3 | 126.5 |
31 มีนาคม 2545 | 9,382.8 | 8,458.2 | 924.6 | 925.6 | 631.7 | 51.9 |
31 มีนาคม 2546 | 10,515.0 | 9,797.9 | 717.1 | 976.8 | 1,064.8 | 87.4 |
31 มีนาคม 2547 | 9,761.9 | 9,081.5 | 680.4 | 820.9 | 849.3 | 69.7 |
31 มีนาคม 2548 | 12,012.9 | 10,657.4 | 1,355.5 | 1,829.4 | 1,389.3 | 113.9 |
31 มีนาคม 2549 | 13,341.1 | 12,127.8 | 1,213.3 | 1,662.1 | 1,240.7 | 101.3 |
31 มีนาคม 2550 | 14,494.4 | 13,180.0 | 1,314.4 | 2,284.6 | 2,128.8 | 170.8 |
31 มีนาคม 2551 | 15,972.5 | 13,848.0 | 2,124.5 | 2,547.2 | 2,049.4 | 166.1 |
31 มีนาคม 2552 | 15,996.3 | 15,092.7 | 903.6 | 1,198.6 | 1,061.5 | 89.1 |
31 มีนาคม 2553[56] | 12,707.3 | 12,644.1 | 63.2 | 285.5 | 215.8 | 18.0 |
31 มีนาคม 2554[57] | 14,524.8 | 13,253.5 | 1,271.3 | 1,419.0 | 1,092.0 | 90.2 |
สิ้นปีงบประมาณ | จำนวนผู้โดยสาร (พันคน) | RPK (million) | ASK (million) | Load factor (%) | ผลตอบแทน (S¢/km) | Unit cost (cents/ASK) | Breakeven load factor (%) |
---|---|---|---|---|---|---|---|
31 มีนาคม 1993 | 8,640 | 37,860.6 | 53,100.4 | 71.3 | 10.5 | - | - |
31 มีนาคม 1994 | 9,468 | 42,328.3 | 59,283.3 | 71.4 | 10.1 | - | - |
31 มีนาคม 1995 | 10,082 | 45,412.2 | 64,053.9 | 70.9 | 9.9 | - | - |
31 มีนาคม 1996 | 11,057 | 50,045.4 | 68,555.3 | 73.0 | 9.4 | - | - |
31 มีนาคม 1997 | 12,022 | 54,692.5 | 73,511.4 | 74.4 | 9.0 | - | - |
31 มีนาคม 1998 | 11,957 | 54,441.2 | 77,221.6 | 70.5 | 9.5 | - | - |
31 มีนาคม 1999 | 12,777 | 60,299.9 | 83,191.7 | 72.5 | 8.6 | - | - |
31 มีนาคม 2000 | 13,782 | 65,718.4 | 87,728.3 | 74.9 | 9.1 | - | - |
31 มีนาคม 2001 | 15,002 | 71,118.4 | 92,648.0 | 76.8 | 9.4 | 7.5 | 70.2 |
31 มีนาคม 2002 | 14,765 | 69,994.5 | 94,558.5 | 74.0 | 9.0 | 6.4 | 71.1 |
31 มีนาคม 2003 | 15,326 | 74,183.2 | 99,565.9 | 74.5 | 9.1 | 6.7 | 73.6 |
31 มีนาคม 2004 | 13,278 | 64,685.2 | 88,252.7 | 73.3 | 9.2 | 6.7 | 72.8 |
31 มีนาคม 2005 | 15,944 | 77,593.7 | 104,662.3 | 74.1 | 10.1 | 7.0 | 69.3 |
31 มีนาคม 2006 | 16,995 | 82,741.7 | 109,483.7 | 75.6 | 10.6 | 7.5 | 70.8 |
31 มีนาคม 2007 | 18,346 | 89,148.8 | 112,543.8 | 79.2 | 10.9 | 7.9 | 72.5 |
31 มีนาคม 2008 | 19,120 | 91,485.2 | 113,919.1 | 80.3 | 12.1 | 8.4 | 69.4 |
31 มีนาคม 2009 | 18,293 | 90,128.1 | 117,788.7 | 76.5 | 12.5 | 9.2 | 73.6 |
31 มีนาคม 2010[58] | 16,480 | 82,882.5 | 105,673.7 | 78.4 | 10.4 | 8.6 | 82.7 |
31 มีนาคม 2011[57] | 16,647 | 84,801.3 | 108,060.2 | 78.5 | 11.9 | 8.9 | 74.8 |
อัตลักษณ์องค์กร
การส่งเสริมภาพลักษณ์และโฆษณาของสิงคโปร์แอร์ไลน์จะเกี่ยวข้องกับลูกเรือเป็นหลัก[59] ซึ่งแตกต่างจากสายการบินส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นอากาศยานและบริการ โดยเฉพาะการเผยแพร่ภาพลักษณ์ของพนักงานต้อนรับหญิงที่รู้จักกันในชื่อว่า สิงคโปร์เกิร์ล ที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในโฆษณาและสิ่งพิมพ์เผยแพร่ของสายการบิน กลยุทธ์ส่งเสริมภาพลักษณ์นี้มุ่งหมายเพื่อสร้างพลังให้แก่สิงคโปร์เกิร์ลให้เป็นตัวแทนของไมตรีจิตและความสง่างามแบบเอเชีย โดยมีรายการฝึกหัดลูกเรือทั้งส่วนห้องโดยสารและส่วนเทคนิคตอบสนองจุดมุ่งหมายนี้
เครื่องแบบของสิงคโปร์เกิร์ลดัดแปลงมาจากโสร่งเกบาหยา ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบมลายู ออกแบบโดย Pierre Balmain เมื่อ พ.ศ. 2511[60] และแทบไม่เคยถูกปรับเปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน เครื่องแบบของพนักงานต้อนรับชายจะเป็นเสื้อนอกสีน้ำเงินอ่อนและกางเกงขายาวสีเทา จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 Christophe Galibert ผู้จัดการฝ่ายศิลป์แห่ง Balmain Uniformes ได้ออกแบบเครื่องแบบของพนักงานชายใหม่ ให้เป็นชุด (เสื้อนอกและกางเกง) สีกรมท่า เสื้อเชิ้ตสีมอคราม และเนคไทลายทางสีต่างๆ โดยสีของเนคไทบ่งบอกถึงระดับชั้นของลูกเรือ
แม้ว่าสิงคโปร์เกิร์ลเป็นแผนการตลาดและสร้างภาพลักษณ์ที่ประสบความสำเร็จสำหรับสายการบิน แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างภาพให้ผู้หญิงอยู่ในฐานะด้อยกว่าผู้ชาย กลุ่มสนับสนุนสิทธิสตรีกล่าวว่า การอ้างอิงทางวัฒนธรรมสำหรับสิงคโปร์เกิร์ลนั้นล้าสมัยแล้ว และผู้หญิงชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ทันสมัยและมีเสรี[61]
จุดหมายปลายทาง
สิงคโปร์แอร์ไลน์มีเส้นทางบินจากท่าอากาศยานหลักในสิงคโปร์ไปยังจุดหมายปลายทาง 61 แห่งใน 35 ประเทศจากห้าทวีป มีฐานการบินที่มั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับซิลค์แอร์ซึ่งเป็นสายการบินสาขา โดยมีเส้นทางบินระหว่างประเทศในภูมิภาคมากกว่าสายการบินอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สายการบินมีบทบาทสำคัญในเส้นทางจิงโจ้ โดยตามข้อมูลเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 สายการบินมีเที่ยวบินร้อยละ 11 ของเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดที่บินเข้าและออกจากออสเตรเลีย[62]
สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ประโยชน์จากข้อตกลงการบินเสรีระดับทวิภาคีระหว่างสิงคโปร์กับไทย และกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้สามารถทำการบินจากกรุงเทพมหานครและดูไบไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ตามข้อมูลวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2548 มีเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพมหานครและโตเกียวสัปดาห์ละหกเที่ยวบิน
ความแข็งแกร่งของสิงคโปร์แอร์ไลน์ทำให้เกิดมาตรการป้องกันจากตลาดใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ไม่ประสบความสำเร็จในการได้สิทธิในเส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากออสเตรเลียไปยังสหรัฐอเมริกา โดยทางการออสเตรเลียได้พยายามยืดเวลาการตัดสินใจอนุญาตให้ทางสายการบินสามารถบินในเส้นทางนี้ออกไป[63] หรือกรณีที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ประกาศว่าต้องการขยายเส้นทางบินไปยังแคนาดาโดยเร็วและสร้างศูนย์กลางในอเมริกาเหนือที่แวนคูเวอร์ แต่ไม่พอใจที่ถูกกีดกันโดยนโยบายป้องกันของแคนาดา[64]
สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่มีฐานอยู่ในมาเลเซีย ได้กล่าวหาสิงคโปร์แอร์ไลน์ถึงการเลือกปฏิบัติ โดยอ้างว่าถูกรัฐบาลสิงคโปร์กีดกันออกจากตลาดในสิงคโปร์[65] แม้ว่าจะไม่มีคำกล่าวอย่างเป็นทางการว่าสิงคโปร์แอร์ไลน์คัดค้านการเข้ามาของแอร์เอเชียก็ตาม ขณะเดียวกันสิงคโปร์แอร์ไลน์ก็ยินดี[66][67]ต่อการเปิดเสรีเส้นทางบินสิงคโปร์-กัวลาลัมเปอร์ที่ผูกขาดร่วมกับมาเลเซียแอร์ไลน์[68]มานานกว่าสามทศวรรษ[69] ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 ของเที่ยวบินกว่า 200 เที่ยวบนเส้นทางนี้ในขณะนั้น[70]
ข้อตกลงการบินร่วม
ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้มีข้อตกลงการบินร่วมกับสายการบินดังต่อไปนี้[71]
- อีเจียนแอร์ไลน์
- แอร์แคนาดา
- แอร์ไชนา
- แอร์ฟรานซ์[72][73]
- แอร์มอริเชียส[74]
- แอร์นิวซีแลนด์
- แอร์ติมอร์
- อะแลสกาแอร์ไลน์
- ออล นิปปอน แอร์เวย์
- เอเชียน่าแอร์ไลน์
- ออสเตรียนแอร์ไลน์
- อาเบียงกา[75][76]
- บางกอกแอร์เวย์ส[77]
- บรัสเซลส์แอร์ไลน์
- โครเอเชียแอร์ไลน์
- อียิปต์แอร์
- ยูโรวิงส์[78]
- เอธิโอเปียนแอร์ไลน์
- อีวีเอแอร์
- ฟิจิแอร์เวย์[79][80]
- การูดาอินโดนีเซีย
- เจ็ตบลู
- ล็อตโปแลนด์[81]
- ลุฟท์ฮันซ่า
- มาเลเซียแอร์ไลน์
- ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์[82][83]
- รอยัลบรูไนแอร์ไลน์
- เอสเซเว่นแอร์ไลน์[84]
- สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ซิสเต็ม
- สายการบินสกู๊ต (สายการบินลูก)[85]
- เซินเจิ้นแอร์ไลน์
- เซาท์แอฟริกันแอร์เวส์
- ศรีลังกาแอร์ไลน์
- สวิสอินเตอร์เนชันแนลแอร์ไลน์
- ตัปปูร์ตูกัล
- การบินไทย
- เตอร์กิชแอร์ไลน์
- ยูไนเต็ดแอร์ไลน์
- เวอร์จินแอตแลนติก
- เวอร์จินออสเตรเลีย
- วิสตารา
ฝูงบิน
ฝูงบินปัจจุบัน
ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 สิงคโปร์แอร์ไลน์มีเครื่องบินประจำการในฝูงบินดังนี้:[86][87]
เครื่องบิน | ประจำการ | คำสั่งซื้อ | ผู้โดยสาร | หมายเหตุ | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
R | F | J | P | Y | รวม | อ้างอิง | ||||
แอร์บัส เอ350-900 | 56 | 4 | — | — | 42 | 24 | 187 | 253 | [88] | ผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุด |
— | — | 40 | — | 263 | 303 | [89] | ||||
แอร์บัส เอ350-900ยูแอลอาร์ | 7 | — | — | — | 67 | 94 | — | 161 | [90] | ผู้ให้บริการรายเดียวในโลก |
แอร์บัส เอ380-800 | 12 | — | 6 | — | 78 | 44 | 343 | 471 | [91] | ลูกค้าเปิดตัว |
โบอิง 737-800 | 7 | — | — | — | 12 | — | 150 | 162 | [92] | |
โบอิง 737 แมกซ์ 8 | 16 | 21 | — | — | 10 | — | 144 | 154 | [93] | |
โบอิง 777-300อีอาร์ | 23 | — | — | 4 | 48 | 28 | 184 | 264 | [94] | เครื่องบิน 3 ลำจะถูกปลดประจำการ[95] |
โบอิง 777-9 | — | 31[96] | รอประกาศ | เริ่มส่งมอบในปี 2025[97] 11 คำสั่งซื้อถูกเปลี่ยนมาจากโบอิง 787-10[98] | ||||||
โบอิง 787-10 | 21 | 7 | — | — | 36 | — | 301 | 337 | [99] | ผู้เริ่มให้บริการ คำสั่งซื้อ 2 ลำโอนย้ายมาจากสกู๊ต[100] |
ฝูงบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์คาร์โก | ||||||||||
แอร์บัส เอ350F | — | 7[101] | สินค้า | ลูกค้าเปิดตัว[102] เริ่มส่งมอบในปี 2025[101] สั่งซื้อพร้อม 5 ตัวเลือก[103]ทดแทนโบอิง 747-400F[104] | ||||||
โบอิง 747-400F | 7 | — | สินค้า | จะถูกปลดประจำการและทดแทนด้วยแอร์บัส เอ350F[104] | ||||||
โบอิง 777F | 5[105] | — | สินค้า | ดำเนินการสำหรับ ดีเอชแอล[106] | ||||||
รวม | 154 | 70 |
สิงคโปร์แอร์ไลน์มีอายุฝูงบินเฉลี่ย 7.2 ปี
บริการ
สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้รับรางวัลมากมายในด้านมาตรฐานบริการ และได้ประกาศว่าจะเป็น "สายการบินที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในโลก"[107] ในการสำรวจ Zagat ประจำปีครั้งที่ 29 โดย US pollsters[108] เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้อันดับหนึ่งทั้งในชั้นประหยัดและชั้นสูง นอกจากนี้ยังเป็นอันดับหนึ่งในด้านเว็บไซต์ ความสะดวกสบาย บริการ และอาหารสำหรับผู้โดยสารทุกชั้น[109]
บริการในระหว่างการบิน
ห้องโดยสาร
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2006 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ประกาศการปรับปรุงห้องโดยสารและบริการในระหว่างการบินครั้งใหญ่[110] แรกเริ่มนั้นได้วางแผนว่าจะเริ่มนำเครื่องบินแอร์บัส เอ 380-800 มาให้บริการเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2549 แล้วตามด้วยโบอิง 777-300อีอาร์ แต่การส่งมอบ เอ380-800 ลำแรกถูกเลื่อนออกไป จึงต้องนำโบอิง 777-300อีอาร์ มาเปิดตัวเป็นลำดับแรกแทนเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2006 ในเส้นทางบินระหว่างสิงคโปร์และปารีส[111]
เครื่องบิน | ชั้นหนึ่ง/ห้องชุด | ชั้นธุรกิจ | ชั้นประหยัด | ชนิดของ คริสเวิลด์ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ห้องชุด | ชั้นหนึ่ง (ใหม่) | ชั้นหนึ่ง (สกายสวีท) | ชั้นหนึ่ง (ภูมิภาค) | ชั้นธุรกิจ (ใหม่) | ชั้นธุรกิจ (ภูมิภาค) | สเปซเบด | อัลติโม | ชั้นประหยัด (ใหม่) | ชั้นประหยัด | ||
A330-300 | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | eX2 |
A340-500 | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | eX2 |
A380-800 | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | eX2 |
B747-400 | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen |
B777-200 (1) | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen (some) |
B777-200 (2) | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen (some) |
B777-200ER | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen |
B777-300 (1) | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen |
B777-300 (2) | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | Wisemen |
B777-300ER | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่ | ไม่ | eX2บทเพลงประจำสายการบิน สิงค์โปรแอร์ไลน์ |
บทเพลงประจำสายการบินสิงค์โปรแอร์ไลน์ คือ
1. กากีนังนัง กากากีนัง ตอนเล็กๆไปเรียนหนังสือ โตขึ้นมาชอบขัดรองเท้า
2. อยู่บางโพก็จะกลับบางโพ เคยอยู่บางโพก็จะกลับบางโพ แตเด็ตแต็ดแต๊~ แต็ดแคแดเด็ต
ห้องชุดสิงคโปร์แอร์ไลน์
ห้องชุดสิงคโปร์แอร์ไลน์สวิท เป็นชั้นโดยสารที่มีเฉพาะบนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เท่านั้น ซึ่งบินไปยังฮ่องกง ลอนดอน เมลเบิร์น ปารีส ซิดนีย์ โตเกียว และซูริค
ห้องชุดออกแบบโดยณอง-ณาคส์ กอสต์ นักออกแบบภายในเรือท่องเที่ยวระดับหรูหราชาวฝรั่งเศส ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่กั้นด้วยผนังและประตูสูง 1.5 เมตร ที่นั่งหุ้มหนังกว้าง 88.9 เซนติเมตรเมื่อเอาที่วางแขนขึ้น และเมื่อเอาที่วางแขนลงจะกว้าง 58.42 เซนติเมตร หุ้มเบาะโดย Poltrona Frau จากอิตาลี ผนังด้านหน้าติดจอภาพผลึกเหลวกว้าง 23 นิ้ว (58.42 เมตร) มีเตียงขนาด 198.12 เซนติเมตรพับอยู่กับผนังด้านหลังและเบาะที่นอนที่พับเก็บไว้ ที่ประตูมีกระจกหน้าต่างที่มีม่านบังตาเพื่อความเป็นส่วนตัว ห้องชุด สองห้องที่ตั้งคู่กันอยู่ตรงส่วนกลาง เมื่อนำม่านบังตาระหว่างห้องขึ้นเก็บบนเพดานแล้ว จะสามารถกางเตียงออกมาเป็นเตียงคู่หนึ่งหลังได้
ชั้นธุรกิจ
ชั้นธุรกิจของสิงคโปร์แอร์ไลน์เคยมีชื่อว่า ชั้นราฟเฟิลส์ (Raffles Class) จนถึง พ.ศ. 2549
ที่นั่งแบบ SpaceBed มีอยู่บนเครื่องบินโบอิง 777-200ER จัดเรียงแบบ 2-2-2 และบนเครื่องบินโบอิง 747-400 จัดเรียงแบบ 2-3-2 ที่นั่งกว้าง 69 เซนติเมตร ยาว 183 เซนติเมตร สามารถปรับเป็นเตียงพับแบบทำมุมได้ มีจอโทรทัศน์ส่วนตัวแบบหดเก็บได้ขนาด 10.4 นิ้ว
ชั้นประหยัด
ที่นั่งชั้นประหยัดทุกตำแหน่งบนเครื่องบินโบอิง 747 และโบอิง 777 (ยกเว้นโบอิง 777-300) จะมีจอโทรทัศน์ส่วนตัว ที่พักขา ที่พิงศีรษะแบบปรับได้ และสามารถปรับระดับการเอนของที่นั่งได้ ผนังกั้นบางจุดในห้องโดยสารจะมีเปลสำหรับทารก[112]
ที่นั่งชั้นประหยัดแบบใหม่บนเครื่องบินโบอิง 777-300ER แอร์บัส เอ 380 และแอร์บัส เอ 330-300 มีความกว้าง 49.53 เซนติเมตร มีช่องเสียบสายไฟและจอโทรทัศน์ส่วนตัวขนาด 10.6 นิ้วที่ใช้เป็นแสงไฟอ่านหนังสือได้[113] ที่นั่งบนเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 จะสามารถกางออกได้ ซึ่งเครื่องบินนี้จะใช้ในเส้นทางบินไป-กลับเพิร์ธ บริสเบน แอดิเลด นะโงะยะ โอะซะกะ และเส้นทางอื่นๆในระดับภูมิภาคหรือระยะทางระดับกลาง การจัดที่นั่งบนเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 จะเป็นแบบ 2-4-2 และสามารถเชื่อมต่อไอพ็อดได้[114] ส่วนประกอบอื่นๆที่มีให้บริการได้แก่ ช่องจับวางถ้วยเครื่องดื่มที่แยกจากโต๊ะพับ และช่องเสียบยูเอสบี สิงคโปร์แอร์ไลน์จะเริ่มนำรูปแบบและส่วนประกอบดังกล่าวไปใช้กับเครื่องบินโบอิง 777 หลังจากปรับปรุงห้องโดยสารใหม่แล้ว เครื่องบินโบอิง 777-300 เป็นรุ่นแรกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่และจะให้บริการในรูปแบบใหม่เป็นครั้งแรกบนเส้นทางสิงคโปร์-ซิดนีย์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552[115]
อาหาร
ระบบความบันเทิงและการสื่อสารในระหว่างการบิน
คริสเวิลด์ (KrisWorld) เป็นระบบความบันเทิงในระหว่างการบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์ เริ่มนำมาให้บริการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2540 บนเครื่องบินโบอิง 747-400 และโบอิง 777-200ER ทุกชั้นโดยสารจะใช้ระบบ ไวส์แมน 3000 ที่มีภาพยนตร์ เพลง และเกมจากนินเทนโดให้เลือกได้ตามความต้องการ ผู้โดยสารในชั้น ห้องชุดสิงคโปร์แอร์ไลน์ ชั้นหนึ่ง และ ชั้นธุรกิจ จะได้รับหูฟัง Active noise-cancelling อีกด้วย
เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้นำบริการ Connexion by Boeing สำหรับอินเทอร์เน็ตในระหว่างการบินมาให้บริการ และต่อมาในเดือนมิถุนายนได้เพิ่ม live TV เข้าไป[116] บริการนี้ยกเลิกไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 หลังจากโบอิงยกเลิกให้บริการนี้แก่สายการบิน
ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้บรรจุโปรแกรมบทเรียนสอนภาษา 22 ภาษาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายลงในระบบ[117] และต่อมาในเดือนธันวาคมในปีเดียวกัน ได้เพิ่มระบบข้อความข่าวสั้นแบบทันปัจจุบันเข้าไปด้วย[118]
สิงคโปร์แอร์ไลน์ได้ประกาศเลือก Panasonic Avionics Corporation ให้เป็นผู้สร้างระบบคริสเวิลด์แบบใหม่ โดยใช้ระบบ eX2 ที่คิดค้นขึ้นใหม่[119][120] คริสเวิลด์แบบใหม่นี้มีให้บริการบนเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 แอร์บัส เอ 330-300 แอร์บัส เอ 340-500 (เฉพาะชั้นธุรกิจเท่านั้น) และโบอิง 777-300ER ประกอบด้วย
- จอภาพผลึกเหลวแบบกว้าง ความละเอียด 1280 x 768
- ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ดนตรี เกม และโปรแกรมเชิงโต้ตอบต่างๆ
- ชุดซอฟต์แวร์สำนักงาน StarOffice Productivity Suite ใช้กับช่องเสียบยูเอสบี
- ช่องเสียบ AC power บนที่นั่ง
บริการภาคพื้นดิน
ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนเดินทางได้ก่อนเที่ยวบินออก 2-48 ชั่วโมง ทั้งที่โต๊ะรับลงทะเบียนและที่ห้องรับรองในท่าอากาศยาน (สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นประหยัด) ท่าอากาศยานจางีสิงคโปร์ยังมีมุมสำหรับลงทะเบียนด้วยตนเอง และทางเดินพิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่จะมีพนักงานคอยต้อนรับและเดินตามไปสง
นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสามารถลงทะเบียนทางอินเทอร์เน็ตหรือบริการข้อความสั้นได้ ผู้โดยสารที่ลงทะเบียนทางอินเทอร์เน็ตจะสามารถพิมพ์บัตรโดยสารออนไลน์ได้ และผู้โดยสารที่เดินทางระยะสั้นยังสามารถลงทะเบียนเที่ยวบินขากลับได้พร้อมกับเที่ยวบินขาไปอีกด้วย
ห้องรับรอง
ห้องรับรองซิลเวอร์คริสเลาจน์ของสายการบินเปิดให้บริการสำหรับผู้โดยสารห้องชุด ชั้นหนึ่ง และชั้นธุรกิจ รวมทั้งสมาชิกของโซลิแทร์พีพีเอสคลับ พีพีเอสคลับ และคริสฟลายเออร์เอไลท์โกลด์ สมาชิกเหล่านี้สามารถเข้าห้องรับรองของผู้ร่วมธุรกิจกับสายการบินได้เช่นกัน ห้องรับรองเหล่านี้ตั้งอยู่ที่[121]
- แอดิเลด
- อัมสเตอร์ดัม
- กรุงเทพมหานคร
- บริสเบน
- ฮ่องกง
- กัวลาลัมเปอร์
- ลอนดอน
- มะนิลา
- เมลเบิร์น
- เพิร์ธ
- ซานฟรานซิสโก
- สิงคโปร์ (อาคาร 2-3)
- ซิดนีย์
- ไทเป
รายการสะสมแต้ม
สิงคโปร์แอร์ไลน์มีรายการสะสมแต้มสองรายการ[122][123] ได้แก่
คริสฟลายเออร์
ในรายการนี้ผู้โดยสารจะสะสมแต้มเพื่อนำไปเพิ่มระดับชั้นโดยสารในการเดินทาง ได้จากบริการของสิงคโปร์แอร์ไลน์และองค์กรผู้ร่วมรายการ ซึ่งได้แก่ สายการบินที่เป็นสมาชิกของสตาร์อัลไลแอนซ์ ซิลค์แอร์ เวอร์จินแอตแลนติก เดลตาแอร์ไลน์ และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการเช่ารถยนต์อีกหลายแห่ง[124] คริสฟลายเออร์แบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ได้แก่ คริสฟลายเออร์ (KrisFlyer) คริสฟลายเออร์เอไลท์ซิลเวอร์ (KrisFlyer Elite Silver) และคริสฟลายเออร์เอไลท์โกลด์ (KrisFlyer Elite Gold) ซึ่งสัมพันธ์กับสถานะสตาร์อัลไลแอนซ์ซิลเวอร์และโกลด์ตามลำดับ ระดับเอไลท์ซิลเวอร์[125]และเอไลท์โกลด์[126]จะมอบให้ผู้โดยสารที่สะสมแต้มได้ 25,000 และ 50,000 ไมล์ขึ้นไปตามลำดับ ภายในระยะเวลา 12 เดือน โดยเริ่มนับจากวันที่สมัครเป็นสมาชิกของรายการคริสฟลายเออร์ เที่ยวบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์ที่มี Booking class V, Q, G, N และ T (เดินทางเป็นกลุ่มหรือรายการส่งเสริมการตลาด) และเที่ยวบินของซิลค์แอร์ที่มี Booking class W และ L จะไม่ได้รับแต้มในรายการนี้[127]
พีพีเอสคลับ
Priority Passenger Service (PPS : พีพีเอส)[128] เป็นรายการสำหรับผู้โดยสารที่สะสมมูลค่าของแต้มพีพีเอสได้ 25,000 เหรียญสิงคโปร์ภายในหนึ่งปี[129] โดยแต้มพีพีเอสจะเพิ่มขึ้นเมื่อโดยสารบน ห้องชุดสิงคโปร์แอร์ไลน์ ชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ ของสิงคโปร์แอร์ไลน์ หรือชั้นธุรกิจของซิลค์แอร์ รายการพีพีเอสแบ่งออกเป็นพีพีเอสคลับ โซลิแทร์พีพีเอสคลับ และโซลิแทร์พีพีเอสคลับไลฟ์[130]
สมาชิกของพีพีเอสคลับจะได้สถานะเป็นโซลิแทร์พีพีเอสคลับโดยสะสมแต้มให้ได้ 250,000 เหรียญสิงคโปร์ภายในห้าปี[130] ส่วนสถานะโซลิแทร์พีพีเอสคลับไลฟ์จะมอบให้สมาชิกที่เดินทางได้ระยะทาง 1,875,000 ไมล์ (3,018,000 กิโลเมตร) ขึ้นไป โดยมีสิทธิพิเศษเท่ากับโซลิแทร์พีพีเอสคลับ[130] แต่ปัจจุบันสิงคโปร์แอร์ไลน์ไม่เปิดรับสมาชิกโซลิแทร์พีพีเอสคลับไลฟ์เพิ่มอีกแล้ว[131]
สมาชิกพีพีเอสจะได้รับสิทธิลงทะเบียนโดยสารและขนกระเป๋าสัมภาระก่อน และสำรองที่นั่งชั้นประหยัดไว้ในกรณีที่อยู่ในรายการรอของชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถเข้าซิลเวอร์คริสเลานจ์ส่วนของชั้นธุรกิจได้ ส่วนสมาชิกโซลิแทร์พีพีเอสและคู่สมรสจะสามารถลงทะเบียนโดยสารในส่วนชั้นหนึ่ง และเข้าซิลเวอร์คริสเลานจ์ส่วนของชั้นหนึ่งได้
เหตุร้ายและอุบัติเหตุ
ข้อมูลด้านล่างนี้กล่าวถึงเฉพาะสิงคโปร์แอร์ไลน์ ส่วนที่เป็นของซิลค์แอร์อยู่ที่บทความของสายการบินดังกล่าว
- 26 มีนาคม พ.ศ. 2534 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 117 ถูกจี้โดยคนร้ายชาวปากีสถานระหว่างทางไปยังสิงคโปร์ หลังจากลงจอด กองกำลังปฏิบัติการพิเศษสิงคโปร์ได้เข้าจู่โจม คนร้ายทั้งหมดเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการ ไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิต
- 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เครื่องบินแบบ Learjet 31 ทะเบียน 9V-ATD ประสบอุบัติเหตุตกที่จังหวัดระนอง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย[132]
- 31 ตุลาคม พ.ศ. 2543 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 006 บินด้วยเครื่องบินโบอิง 747-400 นักบินพยายามนำเครื่องขึ้นจากทางวิ่งที่ทำการซ่อมอยู่โดยเข้าใจว่าเป็นทางวิ่งที่ถูกต้อง และชนเข้ากับอุปกรณ์ก่อสร้างบนทางวิ่งดังกล่าว ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเจียงไคเช็ค (ปัจจุบันคือ ท่าอากาศยานนานาชาติไต้หวันเถาหยวน)ในไต้หวัน มีผู้เสียชีวิต 83 คน บาดเจ็บ 71 คน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างฝนตกหนักเนื่องจากพายุไต้ฝุ่น Xangsane นับเป็นอุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกของสิงคโปร์แอร์ไลน์อย่างไรก็ตามการสอบสวนให้สาเหตุไว้ค่อนข้างกว้าง
- 12 มีนาคม พ.ศ. 2546 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 286 บินด้วยเครื่องบินโบอิง 747-400 เกิดเหตุหางของเครื่องบินครูดกับทางวิ่งขณะบินออกจากออคแลนด์ นิวซีแลนด์ ไปยังสิงคโปร์ ทำให้ส่วนหางของเครื่องบินเสียหายอย่างหนัก เครื่องบินสามารถกลับมาลงจอดที่ท่าอากาศยานได้อย่างปลอดภัย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต[133]
- 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 836 บินด้วยเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 เกิดเครื่องยนต์ทั้งสองดับกลางอากาศขณะบินจากสิงคโปร์ ไปยังเซี่ยงไฮ้ หลังจากทำการบินไปได้สามชั่วโมงครึ่ง ทำให้ร่วงจากเพดานบินไปอยู่ที่ 26,000 ฟุต ก่อนนักบินจะสามารถกู้เครื่องบินกลับมาได้ปกติและลงจอดได้อย่างปลอดภัย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
- 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559 สิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 368 บินด้วยเครื่องบินโบอิง 777-300ER ได้รับแจ้งเตือนน้ำมันรั่วขณะบินจากสิงคโปร์ ไปยังมิลาน นักบินนำเครื่องกลับและเกิดไฟลุกไหม้ขณะลงจอดฉุกเฉิน ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต[134]